เมืองไทย 360 องศา
ตอนแรกนึกว่าฟังผิด หรือพูดผิด ว่า “ไทยล้ำแดนกัมพูชา” แม้ว่าจะมีคำพูดต่อมาว่า กัมพูชารุกไทย และหากจะให้แฟร์ๆ ก็ต่างฝ่ายต่างถอยกลับมา อะไรประมาณนั้น แม้ว่าในเวลาต่อมาจากมีความพยายามอธิบายทำนองว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” หรือ “พื้นที่อ้างสิทธิ์” ก็ตาม แต่ในที่สุดนายอนุทิน ก็ต้องยอมรับว่าพูดแบบนั้น และยอมขอโทษในที่สุด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ระบุว่า ไทยก็มีการรุกล้ำพื้นที่ของกัมพูชา เราต้องบอกว่า ต่างคนก็ต้องทำตามข้อตกลงที่ระบุไว้ และที่ตนพูดนั้น หมายถึงพื้นที่อ้างสิทธิ์ ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์กันอยู่ เราก็ทำให้มันเคลียร์ไป
ถามว่า เป็นพื้นที่ที่กำลังมีปัญหาข้อพิพาทอยู่ ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พื้นที่ที่มีปัญหาอยู่ ซึ่งทั้งสองฝั่งต้องเจรจาต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่มีอะไรหรอก
เมื่อถามว่า จากการให้สัมภาษณ์ มีประชาชนเกิดความสับสนในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ขอขอโทษด้วย ที่ทำให้เกิดความสับสน ตนต้องการจะบอกว่า ทุกอย่างทั้งสองฝ่ายต้องทำตาม
เมื่อถามว่า มีการเผยแพร่ภาพนายกรัฐมนตรี จับมือกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีความรู้สึกอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า เราลงนามเรื่องของข้อตกลง และทางฝ่ายกัมพูชาก็ขอพบ พร้อมทั้งแจ้งให้เราได้ทราบว่า ข้อตกลงต่างๆจะดำเนินการไปด้วยความรวดเร็ว ซึ่งตนเรียนนายฮุน มาเนต ไปว่า ประเทศไทยก็พร้อมดำเนินการในส่วนของเรา เมื่อทางกัมพูชาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อแล้ว ซึ่งเขายืนยันว่าจะเร่งปฏิบัติ และพูดกับเราว่า ในส่วนที่เราต้องดำเนินการ เช่น กรณีการคืนตัวทหารกัมพูชา 18 นาย เราก็บอกว่า ถ้ามีการปฏิบัติตามข้อตกลง ไปถึงจุดที่ฝ่ายทหารของเรามีความแน่ใจแล้ว ว่าเราจะทำเรื่องนี้ได้จนจบ เราก็พร้อมที่จะคืนตัว
ซึ่งขณะนี้เราเตรียมการเรื่องการตรวจสุขภาพของทหารฝ่ายเขา เพื่อให้มั่นใจว่า เมื่อเดินทางกลับไปแล้ว จะได้ไม่มีข้อสงสัยว่าได้รับการปฏิบัติไม่ดีหรือถูกทารุณ
ส่วนที่ว่า ทางกัมพูชา มีการหยิบยกเรื่องการเปิดด่านขึ้นมาพูดด้วยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี เขาคงทราบว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องท้ายๆ
ถามว่า ได้มีการหารือเรื่องการถอนอาวุธหนักหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการแจ้งว่าถอนไปแล้ว แต่ยังมีการซ่อนอยู่ นายอนุทิน กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) ส่วนใหญ่เป็นผู้ช่วยทูตทหารอาเซียน
และว่า เงื่อนไขทั้ง 4 ข้อ คาดหวังว่าจะจบรัฐบาลนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น่าจะใช้เวลา 1-2 เดือน ในเรื่องการเก็บกู้วัตถุระเบิด
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หมายถึง การปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่น่าทัน อย่างเรื่องสแกมเมอร์ก็ต้องกลับมาทำงานร่วมกันใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายตำรวจ และฝ่ายความมั่นคงเคยทำงานร่วมกัน แต่พอมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ก็หยุดไป แต่ต้องกลับมาทำใหม่ เพราะเรื่องสแกมเมอร์ต้องปรับไปเรื่อยๆ
เมื่อถามว่า หากบรรลุข้อตกลง 4 ข้อแล้ว เรื่องการสร้างกำแพง ต้องดำเนินการหรือไม่ต่อไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็ต้องว่ากันไป เป็นเรื่องของกองทัพที่ต้องเจรจา
หากย้อนไปที่คำพูดของ นายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “ไทยก็ล้ำแดนกัมพูชา” นั้น หากมองกันแบบทะลุเข้าไปข้างในก็เหมือนกับว่า “เสียงในหัวสั่งให้พูดแบบนั้น” หรือเปล่า เพราะจะว่าไปแล้ว ที่ผ่านมาตามข้อเท็จจริงแล้ว ไทยไม่เคยรุกล้ำกัมพูชา ไม่เคยมีพื้นที่ทับซ้อน มีแต่พื้นที่ของไทย และกัมพูชารุกล้ำเข้ามาเท่านั้น
ขณะเดียวกันการปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นเวลา 5 วัน ที่ทหารไทยสามารถยึดพื้นที่กลับมา 11 จุดนั้น ทั้งหมดก็ล้วนเป็นพื้นที่ที่เคยเป็นของไทยมาก่อนทั้งสิ้น แต่ถูกกัมพูชา บุกรุกยึดดินแดนมานานนับสิบปี
คำพูดของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยอมรับว่า “ไทยก็ล้ำแดนกัมพูชา” ถือว่า “เสียหาย” และไม่น่าจะพูดออกมาแบบนั้น แน่นอนว่าก่อนพูดเขาอาจประเมินว่า มีเจตนาต้องการสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร หลังมีการลงนามในข้อตกลง ที่ปูทางไปสู่สันติภาพเอาไว้แล้ว และมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสักขีพยาน หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น มีผลต่อการเจรจาการค้าที่สหรัฐฯ จะผ่อนปรนให้เรามากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี คำพูดแบบนี้ เหมือนกับยอมรับว่า “เราล้ำแดน” ทำให้การเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา ในเรื่องเขตแดนนับจากนี้ จะทำให้ฝ่ายไทยเสียเปรียบ เพราะจากเดิมที่เราเคยยืนยันว่า “ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน” มีแต่พื้นที่ของไทย ที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามอ้างมาตลอด เหมือนกับกรณี “บ้านหนองจาน” และ “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เป็นต้น พื้นที่ดังกล่าวก็ต้องถือว่า ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ์มาตลอดเหมือนกัน ทั้งที่เป็นแผ่นดินไทยชัดเจน
แม้ว่าล่าสุด นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะยืนยันว่าเขามีความเชี่ยวชาญในการเจรจาตั้งแต่อยู่ภาคธุรกิจเอกชน และจะไม่ยอมให้มีการเสียเปรียบฝ่ายกัมพูชาก็ตาม แต่การพูดที่ผ่านมา กรณี “ไทยล้ำแดน” ย่อมทำให้เกิดความเสียหาย และทำให้ไทยเสียเปรียบอย่างชัดเจน และหากว่าไปแล้วด้วยคำพูดดังกล่าว ยังทำให้ไทยต้อง “เสียดินแดน” ได้ชัดเจนมากกว่ากรณี “คลิปเสียง” ของ “อุ๊งอิ๊ง” นส.แพทองธาร ชินวัตร กับ นายฮุน เซน ของกัมพูชา ก่อนหน้านี้เสียอีก เพราะเท่ากับว่าเรายอมรับ “เสียดินแดน” ให้กับฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว
ดังนั้น แม้ว่าในที่สุด นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะออกมาขอโทษ และพยายามกลบเกลื่อนว่า เป็นการพูดเรื่อง “พื้นที่อ้างสิทธิ์” หรือพื้นที่ทับซ้อน ก็ตาม แต่ถือว่า “ความเสียหาย” ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะเหมือนกับว่า “ยอมยกดินแดน” ให้เขาไปแล้ว ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมันก็ยังสะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่น่าไว้ใจทั้งในเรื่องความคิดและความสามารถพอจะพึ่งพาได้หรือเปล่า !!


