นายกรัฐมนตรีประชุมทีมประเทศไทย รับฟังปัญหาเอกชนไทยใน สปป.ลาว ตั้งเป้าการค้าทวิภาคี 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2027 แนะทูต-เอกชนสร้าง "Friends of Thailand" ผลักดันผลประโยชน์แบบ win-win
วันนี้ (พฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2568) เวลา 13.20 น. ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประชุมหารือร่วมกับทีมไทยแลนด์ และพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนภาคเอกชนไทยจากบริษัทชั้นนำต่างๆ
โดยผู้เข้าร่วมทีมไทยแลนด์ ได้แก่ นางสาวจิรัสยา พีรานนท์ อุปทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ เวียงจันทน์ ผู้ช่วยทูตทหารบก ผู้ช่วยทูตทหารอากาศอัครราชทูตที่ปรึกษา จากฝ่ายการพาณิชย์ ฝ่ายควบคุมยาเสพติด และฝ่ายความมั่นคง รวมถึงภาคเอกชน อาทิ ธนาคารกรุงไทย สาขานครหลวงเวียงจันทน์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และบริษัท พีทีที (ลาว) จำกัด
ภาคเอกชนไทยที่เข้าร่วม อาทิ UMG Lao, ธนาคารกรุงเทพ, กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์, ราชกรุ๊ป, พีทีที ลาว, ซีพี ออลล์ ลาว, น้ำตาลมิตรลาว, เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล ลาว, บริษัทไฟฟ้าหงสา, ทีโอเอ เพ้นท์ (ลาว), เบทาโกร ลาว, ซี.พี.ลาว, มอนซูน วินด์พาวเวอร์, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์, และบริษัทซีไอการค้า ขาออก-ขาเข้า
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเอกอัครราชทูต สมาชิกทีมประเทศไทย และผู้แทนภาคเอกชนไทยทุกท่านที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และสละเวลาเดินทางมาร่วมการหารือในวันนี้ โดยระบุว่าการเยือน สปป.ลาว อย่างเป็นทางการในฐานะประเทศแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง สะท้อนถึงความสำคัญของลาวสำหรับไทย ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด มีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งทั้งด้านความมั่นคงและการพัฒนา โดยรัฐบาลชุดนี้ต้องการวางรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงในอนาคต ผ่านการขยายตลาดการค้า การดึงดูดการลงทุนสมัยใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น และการส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านที่มีห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และระบบคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีสอนไซฯ ในช่วงเช้าวันเดียวกันว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเพิ่มความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระดับประชาชน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งสินค้าผ่านแดน
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือความร่วมมือในโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน สะพาน และรถไฟ ซึ่งจะมีพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 5 อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการเชื่อมโยงด้านคมนาคมขนส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญให้ไทยและลาวสามารถบรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027
นายกรัฐมนตรีระบุเพิ่มเติมว่า ได้หารือกับประธานประเทศ สปป.ลาว เพื่อย้ำถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ และขอให้ลาวสนับสนุนโครงการความร่วมมือต่าง ๆ ของไทย รวมถึงช่วยดูแลคนไทยกว่า 5,000 คนในลาว และสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในประเทศ พร้อมชื่นชมบทบาทของทีมประเทศไทยและภาคเอกชนที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ข้อตกลงระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีขอให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และส่งเสริมการจัดกิจกรรม CSR อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์นักลงทุนไทยในฐานะ “นักลงทุนคุณภาพที่ลาวไว้วางใจ” พร้อมสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานสร้างเครือข่ายกับบุคคลระดับสูงของลาวในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อขยายเครือข่าย “Friends of Thailand” ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันอย่างยั่งยืนในลักษณะ win-win ทั้งสองฝ่าย
นายกรัฐมนตรียังได้รับฟังการนำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจใน สปป. ลาว จากผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ ซึ่งครอบคลุมปัญหาด้านการประกอบธุรกิจต่างๆ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนและเงินเฟ้อ ตลอดจนแนวทางส่งเสริมการประกอบธุรกิจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้แทนภาคเอกชนไทย โดยรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอจากทุกภาคส่วน เพื่อพิจารณาแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าขับเคลื่อนความร่วมมือไทย–ลาวให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ ที่ประชุมฯ ยังหารือครอบคลุม 5 ประเด็นหลัก ได้แก่
(1) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายการค้าทวิภาคี 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027 และเตรียมจัดประชุม JC COOP ครั้งที่ 8 เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและ SMEs
(2) การอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ โดยขอให้ฝ่ายลาวดูแลการขนส่งผลไม้จากไทยผ่านลาวไปจีน รวมถึงค่าธรรมเนียมและการอนุญาตให้รถบรรทุกไทยใช้สถานีเวียงจันทน์เพื่อขนถ่ายสินค้าขึ้นรถไฟลาว-จีนโดยตรง
(3) การแก้ปัญหาภาษีหลายรายการ ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง โดยจะผลักดันให้มีระเบียบที่ชัดเจนและโปร่งใส
(4) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรลาว เพื่อรองรับการลงทุนของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยในลาว
(5) การรองรับอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน