ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จากลูกอีสานสู่แม่ทัพผู้พิทักษ์ วันอำลา “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง
เมื่อวาน วันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นวันสำคัญของ “พล.ท.บุญสิน พาดกลาง” หรือที่คนในกองทัพและคนไทยต่างคุ้นเคยกันในนาม "บิ๊กกุ้ง" แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ต้องกล่าวอำลาชีวิตรับราชการทหารอย่างเป็นทางการ ในวันเกษียณอายุ
การเกษียณของ "บิ๊กกุ้ง" ไม่ใช่เพียงแค่การส่งมอบตำแหน่งจากรุ่นสู่รุ่น แต่เป็นการปิดฉากชีวิตรับราชการอันยาวนานที่เต็มไปด้วยความทุ่มเท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะ 'แม่ทัพ' ผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลความมั่นคงและรักษาอธิปไตยไทยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งรวมถึงภารกิจที่จะเป็นที่จดจำของคนไทยไปตลอดกาล นั่นคือ การดูแลและปกป้อง "ทวงคืนแผ่นดิน" ชายแดนไทย-กัมพูชา
เส้นทางของ “พล.ท.บุญสิน” นั้นเป็นเรื่องราวที่ กินใจ และ สร้างแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง เริ่มต้นจาก "ลูกอีสาน" ผู้ที่ผ่านการสอบเข้าสู่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 26 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 37 ด้วยความมุมานะ
นี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า ความมุ่งมั่น และวินัยสามารถพาคนธรรมดาคนหนึ่งไปยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของกองทัพภาคที่สองที่สำคัญที่สุดภาคหนึ่ง ของประเทศได้
ตลอดชีวิตราชการ “แม่ทัพกุ้ง” สั่งสมประสบการณ์จากงานภาคสนามอย่างโชกโชน ทั้งการปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งทำให้เข้าใจพื้นที่และปัญหาในภาคอีสานอย่างลึกซึ้ง ความเด็ดขาดในการทำงาน ผนวกกับบุคลิกที่อ่อนโยน และรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์จนได้รับฉายาว่า "แม่ทัพมนต์แคน" จากความละม้ายคล้ายนักร้องลูกทุ่งดัง ทำให้เป็นนายทหารที่เข้าถึงง่าย และเป็นที่รักของกำลังพล และประชาชนทุกเพศทุกวัย
ในวันสุดท้ายของการทำงาน “แม่ทัพกุ้ง” ยังคงเหมือนเดิมด้วยการปฏิบัติภารกิจอย่างเต็มที่ โดยมีรายงานว่าได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "จากลูกชาวนาสู่ภารกิจความมั่นคงของแผ่นดินไทย" ณ สถาบันทิวา ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพชีวิต และอุดมการณ์ของ “พล.ท.บุญสิน” ได้อย่างชัดเจน พร้อมกับความรับผิดชอบและทวงคืนอธิปไตยไทยที่เขมรฉกฉวยไปกลับมา บทบาทหน้าที่ ที่ต้องใช้ทั้งความกล้าหาญและสติปัญญา ซึ่งแม่ทัพกุ้ง ก็ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ที่สุด ตรงนี้ถือเป็นการส่งต่อความสำนึกแห่งความรับผิดชอบ และความรักชาติให้กับคนรุ่นหลัง
แม้จะเกษียณจากตำแหน่งแม่ทัพแล้ว แต่ “บิ๊กกุ้ง” ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “นายทหารราชองครักษ์พิเศษ” ซึ่งเป็นการสานต่อภารกิจในการรับใช้ชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป ถือเป็นเกียรติสูงสุด และเป็นบทสรุปอันงดงามของชีวิตข้าราชการที่ทุ่มเท
แน่นอนว่า ในบทสัมภาษณ์ช่วงก่อนเกษียณหลายๆ ครั้ง “พล.ท.บุญสิน” เปิดใจถึงเส้นทางชีวิตหลังเครื่องแบบทหารว่า "จะไม่เล่นการเมือง" แต่จะยังคงทำหน้าที่ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
การอำลาตำแหน่งของ “แม่ทัพบุญสิน พาดกลาง” จึงไม่ใช่เพียงการเกษียณอายุราชการของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่เป็นการก้าวออกจากฉากชีวิตของ "วีรบุรุษ" ผู้หนึ่ง ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ และความอดทน สามารถนำพา "ลูกอีสาน" คนหนึ่งให้เป็น "ผู้พิทักษ์แผ่นดิน" ได้อย่างสมศักดิ์ศรี
++ ดรามา วาทกรรม “อนุวิน” ปะทะ “ทักเซน” สุดท้าย “ไชยชนก” ปากพาจน จะโดน ม.157
มีประเด็นดรามาในการอภิปรายนโยบาย“รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล” เมื่อ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งคณะรัฐมนตรี ที่เป็น “นอมินี” ของผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรคภูมิใจไทย แบบไม่สนใจว่าประชาชนจะมองยังไง
“ก่อแก้ว”ยกตัวอย่าง รัฐมนตรี“บุรีรัมย์คอนเนกชัน” 3 คน คือ “โสภณ ซารัมย์-พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ และ ไชยชนก ชิดชอบ”
“โสภณ ซารัมย์” ได้นั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นคนใกล้ชิด “เนวิน ชิดชอบ” ช่วงนี้ “ก่อแก้ว” ได้ฟื้นอดีตเมื่อปี 2554 ว่าที่บ้าน“สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกปล้นเงินสดกว่า 200 ล้านบาท โดยคนร้ายยืนยันว่าภายในบ้านมีไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท
“ก่อแก้ว” เปรียบเปรยว่า ขนาดบ้านปลัดฯ ยังมีเงินสดขนาดนี้ แล้วบ้านรัฐมนตรีจะมีมากขนาดไหน แน่นอนว่าเป็นการแขวะไปถึง “โสภณ” เพราะเคยเป็นมาแล้ว ทั้ง รมช. คมนาคม และ รมว.คมนาคม
ส่วน “พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์” ได้รับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ทั้งที่เป็นเพียง อดีต รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งเป็นคนนอก แต่ใกล้ชิด “ครูใหญ่เนวิน” น่าสังเกตว่าแต่งตั้งเพื่อภารกิจเฉพาะมาเป่าคดี “ฮั้วเลือก สว.” ที่แกนนำภูมิใจไทย ถูกสอบสวนอยู่ หรือไม่
สำหรับ “ไชยชนก ชิดชอบ” ลูกชายเนวิน ที่มานั่งคุมกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งที่ ไม่มีประสบการณ์ และศักยภาพเพียงพอ เพราะตำแหน่งนี้ ต้องการบุคคลที่ทำงานได้ทันที เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน อย่างการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์
“ก่อแก้ว” อภิปราย ตบท้ายว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่า “อนุทิน”เป็นคนดี แต่เมื่อเข้าสู่การเมือง กลับไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงอยากเตือนว่า "หากท่านยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง สังคมจะชื่นชม แต่ถ้าปล่อยให้คนอื่นครอบงำ ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของพรรคและพวก สังคมจะประณาม และจะกล่าวขานว่า นายกฯตัวจริงไม่ใช่ อนุทิน แต่เป็น อนุวิน…กินรวบประเทศ"
หลัง “ก่อแก้ว” อภิปราย “ไชยชนก ชิดชอบ” ลุกขึ้นชี้แจงตอบโต้ทันทีว่า แม้จะเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง ยังอ่อนประสบการณ์ทางการเมือง แต่ด้านการบริหารไม่อ่อน ที่ผ่านมาทำฟุตบอลก็ประสบความสำเร็จ ทำ “อีสปอร์ต” ก็พาเด็กไทยเป็นแชมป์โลกได้ ในเวลาแค่ 3 ปี
เมื่อมาทำงานการเมือง ก็ภูมิใจที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญ ที่ช่วยประเทศไทยให้พ้นจากภัยความมั่นคงของประเทศ ด้วยการเอารัฐบาลที่แล้วออกไปได้
แถมยังพูดแบบ “เอาหล่อ” ว่า นี่ขนาดยังไม่ทันไร ก็มีคนติดต่อมาแล้ว เสนอมอบเงินให้เดือนละ 40 ล้านบาท เพื่อไม่ให้จับเรื่องคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเว็บไซต์ เลยทำให้สงสัยว่า นี่มันเป็นประเพณีปฏิบัติของ รมว.ดีอี คนก่อนหรือไง แต่ตนเองได้ปฏิเสธไปแล้ว
จังหวะนี้ “ก่อแก้ว” จึงลุกขึ้นอภิปรายในประเด็นที่บอกว่ามีคนติดต่อให้เงิน เดือนละ 40 ล้านบาท ช่วยกระชากหน้ากาก มาให้สังคมได้รับรู้และดำเนินการจับกุมด้วย
“ไชยชนก” ก็ตอบกลับว่า จะพยายาม แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับความร่วมมือ หรือไม่ แต่จะพยายาม
ก่อนจบ ก็ไม่ลืมที่จะย้อนมาเอาคืน ในเรื่องที่ถูกมองว่าเป็น รัฐบาล “เนทิน” ว่าตนเองก็ไม่มั่นใจ เพราะเป็นน้องใหม่ในวงการการเมือง ไม่แน่ใจว่าต้องเป็นรัฐบาล “ทักเซน” หรือ “ฮุนษิณ” หรือเปล่า ถึงจะเป็นแบบที่ท่านมอง
ทำเอา “ประธานวันนอร์” รีบตัดบท ไม่ให้พูด โดยบอกว่าอย่าไปย้อน เดี๋ยวจะเป็นการประชดประชัน และขอให้ถอนคำพูดด้วย ซึ่ง “ไชยชนก” ก็ยอมถอน พร้อมกล่าวว่า แค่สงสัยจริงๆ
แม้จะคิดวาทกรรม “ทักเซน” หรือ “ฮุนสิน” มาตอบโต้กับ “อนุวิน”หรือ “เนทิน” แบบได้ใจแฟนคลับสีน้ำเงิน
แต่การที่ออกมาคุยว่า มีคนมาเสนอให้เดือนละ 40 ล้าน ไม่ให้จับเรื่องคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และเว็บไซต์ แล้วตัวเองไม่รับนี่ ฟังเผินๆ เหมือนว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์ รักศักดิ์ศรี เงินซื้อไม่ได้ แต่นั่นมันไม่ต่างอะไรกับการ “โชว์โง่”
เป็นเรื่อง “ปากพาจน” เพราะเท่ากับยอมรับว่า รู้มีการติดสินบนเกิดขึ้น แต่กลับไม่ดำเนินการอะไรเลย ก็เท่ากับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว “เกียร์ว่าง”
แบบนี้มันผิด มาตรา 157 “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” มีทั้งโทษจำคุก และโทษปรับ
ในทางการเมือง ยังเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยเรื่องฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงอีกด้วย โทษนอกจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งแล้ว อาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ก็เป็นได้
ตอนนี้ก็รอดูว่า “นักร้อง” คนไหน จะไปร้องเอาผิด “ทั่นไชยชนก” ทายาทบ้านใหญ่บุรีรัมย์ ที่กำลังพองคับประเทศ