“รสนา” ตั้งคำถามตำรวจตั้งธงเงินสด 12 ล้านเป็นของ “ทวีวัฒน์” น่าเชื่อถือหรือไม่ อ้างนำกล่องไปทิ้งขยะเอง แต่ในภาพวงจรปิดกลับไม่มี ขณะที่ภาพจากกล้องอีก 2 ตัวตำรวจกลับไม่พูดถึง เป็นไปได้หรือไม่ มีคนเอาเงินส่วยมาให้ แต่ผิดคิวมีคนอื่นมาเจอก่อน
วันนี้ (13 มิ.ย.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก "รสนา โตสิตระกูล" กรณีมีผู้พบเงินสด 12 ล้านบาทในที่ทิ้งขยะของคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานีว่า “ตำรวจเชื่อว่าเงิน 12 ล้านเป็นเงินของทวีวัฒน์ ตั้งธงแบบนี้ น่าเชื่อถือหรือไม่?!
ดิฉันเห็นว่ากรณีเงิน 12 ล้านบาทที่ตำรวจให้สัมภาษณ์ว่าเชื่อว่าเป็นเงินของนายทวีวัฒน์นั้น เป็นการสรุปที่เร็วเกินไปหรือไม่ ?!
ยังมีข้อพิรุธและเงื่อนงำหลายข้อที่ตำรวจไม่ได้เปิดเผยให้สังคมสิ้นสงสัย แต่กลับทำให้สื่อและสังคมตั้งคำถามหนักขึ้น
1) ตำรวจเชื่อง่ายๆ ตามข้ออ้างของนายทวีวัฒน์ว่าหลงผิดเอากล่องเงิน 12 ล้านมาทิ้งขยะ ซึ่งนักข่าวได้รายงานการให้สัมภาษณ์ของตำรวจว่าไม่พบหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดที่นายทวีวัฒน์นำกล่องมาทิ้ง แล้วเชื่อได้อย่างไรว่าเป็นเงินของเขาจริง ?!?
ในยุคที่เงินส่วย เงินสินบนระบาด แต่เหตุใดจึงไม่มีการตั้งประเด็นสงสัยว่าอาจจะมีคนนอกเอาเงินมาวางไว้ให้หรือไม่ มีนักข่าวช่อง 8 ไปดูสถานที่ รายงานว่ามีกล้อง 2 ตัวบริเวณทางเข้าตึกซึ่งถ้ามีคนนอกถือกล่องหน้าตาแบบนี้เข้ามาย่อมต้องมีภาพในกล้อง 2 ตัวนั้น ซึ่งสื่อช่อง 8 รายงานว่าบันทึกของกล้องอยู่กับตำรวจ ประเด็นนี้ตำรวจไม่ได้พูดถึง ทั้งที่เป็นจุดสำคัญว่าเป็นเงินที่มีคนนำมาวางไว้ให้ ในเวลาที่พลเมืองดีพบในเวลา 19.40 น ถ้าไม่อ้างว่ากล้องเสีย ควรไล่ดูก่อนช่วงเวลาที่พบกล่องเงินดังกล่าว แต่กลับกลายเป็นว่าตำรวจไปอ้างคลิปที่นายทวีวัฒน์ถ่ายมาให้กับทางคอนโด เห็นว่าในห้องนั้นมีกล่องคล้ายกัน แต่ไม่พูดถึงภาพจากกล้อง 2 ตัวที่ทางเข้าคอนโดฯ ที่ตำรวจยึดเอาไปตรวจสอบว่ามีภาพตามที่สังคมสงสัยหรือไม่ หรือจะอ้างว่ากล้องเสีย ก็ขอให้บอกมาว่ากล้องเสีย
2) หลักฐานเงินจาก 4 บริษัทที่นายทวีวัฒน์อ้างว่าได้รับนั้น ตามตัวเลขไม่ใช่ 12 ล้าน แต่เป็นยอดเงิน 19,860,000 บาท เหตุใดตำรวจรีบเชื่อว่าเงิน 12 ล้านเป็นเงินจากก้อนเดียวกัน และเป็นเงินของนายทวีวัฒน์ ทั้งที่ยังสืบสวนไม่แล้วเสร็จ ใช่หรือไม่ ??!!
3) เงิน 12 ล้านที่มีสายคาดของธนาคารกสิกรไทย ย่อมสามารถสืบไปได้ว่าเป็นเงินที่เบิกถอนจากบัญชีผู้ใด ธนาคารสาขาใด เวลา วันเดือน ปีอะไร และลายเซ็นใครเป็นผู้ทยอยถอนเงินก้อนโตนั้น
ในข่าวที่ตำรวจให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่าเป็นเงินของ 4 บริษัทที่เกี่ยวของกับนายทวีวัฒน์ มีการเบิกคราวละ 1.9 ล้านบาทเพื่อเลี่ยงการแจ้ง ปปง. แต่ไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นคนเบิกถอน ถ้าไม่ใช่นายทวีวัฒน์เป็นคนเบิกเอง ก็จะขัดเเย้งกับที่นายทวีวัฒน์ให้สัมภาษณ์ว่า เบิกถอนเงินนั้นมาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อเล่นการเมือง ใช่หรือไม่
4) การรายงานรายได้ของนายทวีวัฒน์ว่ามีรายได้ปีละ 1 ล้านบาท แต่มีเงินที่อ้างว่าเป็นของตนถึง 12-19 ล้านบาท และบริษัททั้ง 4 บริษัท นักข่าวช่อง 8 ได้ไปสืบค้นมาว่ามีทุนจดทะเบียน บริษัทละ 1 ล้านบาทเท่านั้น ค้าขายอะไรจึงสามารถจ่ายให้นายทวีวัฒน์ ตั้งแต่ 1-8 ล้านบาท จึงน่าตั้งเป็นข้อสังเกตว่าเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นแบบมีธุรกรรมอำพราง ใช่หรือไม่ ??!!
ไม่ว่าเงิน 12 ล้านเป็นเงินที่มีคนส่งมาให้แบบผิดคิวจนมีพลเมืองดีไปพบก่อน หรือการเก็บเงินสด 12 ล้านไว้ในคอนโดฯ เป็นเวลาถึง 5 ปี ย่อมถูกตั้งคำถามได้ว่าเป็นเงินที่มีปัญหา อาจเข้าข่ายเป็นเงินสินบน แบบเดียวกับกรณีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เก็บเงินสดไว้ในบ้านหลายร้อยล้าน แต่เป็นเงินที่ต้องถูกยึดให้ตกเป็นของแผ่นดิน ใช่หรือไม่
การที่ ผบช.ภ.1 ด่วนสรุปให้สัมภาษณ์สื่อว่าเงิน 12 ล้านเป็นเงินของนายทวีวัฒน์จริงๆ ไม่ใช่การจัดฉาก อาจจะทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยได้ว่าเป็นจัดฉากของตำรวจเสียเองหรือไม่ นี่ไม่ใช่ข้อสงสัยของสังคม และของสื่อเท่านั้นแม้แต่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางยังเห็นว่ามีพิรุธมาก หรือว่านี่เป็นการตั้งธงเอาไว้ เพื่อไม่ให้สาวไปถึงต้นตอของเงินสินบน ที่จัดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ใช่หรือไม่?
"อาชญากรรมทุกชนิดย่อมทิ้งร่องรอยไว้เสมอ จึงขอให้ทั้งตำรวจสอบสวนกลาง และบรรดาองค์กร 3 ป. ประกอบด้วย ป.ป.ป. ป.ป.ท.และ ปปง.ช่วยกันขยายผลจากร่องรอยที่เป็นพิรุธในกรณีนี้ อย่าทำให้ประชาชนเกิดวิกฤตศรัทธาและไม่เชื่อถือองค์กรตรวจสอบว่า จะเป็นผู้มาแกะรอยอาชญากรรม หรือมากลบร่องรอยเสียเอง เพื่อไม่ให้สาวถึงไอ้โม่งตัวใหญ่ปลายเส้นทางอาชญากรรมทุจริตคอร์รัปชัน"