ศาลรัฐธรรมนูญ ตีตก 2 คำร้อง จัดเลือก สว.ไม่สุจริต-ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระบุ กกต.กำหนด “วิธีลงคะแนน” เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าละเมิดสิทธิ ใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ ส่วนปมร้อง “ประธาน-เลขาฯ กกต.-ผอ.กกต.ราชบุรี” เมินรับเบาะแสนั้น ศาลเคยตีตกไปแล้ว
วันนี้ (17 ก.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีที่ นายภิญโญ บุญเรือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 213 ว่า การดำเนินการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการ กกต. ในการกำหนดวิธีการลงคงคะแนนเลือก สว.ส่งผลให้การเลือก สว.ดังกล่าวมิใช่วิธีการลงคะแนนลับ เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 25 หรือไม่ และขอให้ศาลสั่งให้เลือก สว.ที่ผ่านมา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขอให้วินิจฉัยว่า พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47(2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213
โดยศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ปรากฏว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 2 เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม
ส่วนกรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือก สว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีวิธีพิจารณาของศาสรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47(2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารมา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
สำหรับกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47(2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 213 นั้น เป็นการขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231(1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47(2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญยังมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายวัฒนา ชมเชย ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ
มาตรา 213 ว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. และนายณัฏฐกร คงเดชา ผอ.สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดราชบุรี ไม่ได้ทำหน้าที่จัดการเลือก สว. อย่างเที่ยงธรรม ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 108 ก. คุณสมบัติ (3) และมาตรา 215 วรรคสอง ด้วยการเอื้อประโยชน์ให้ใช้ แบบ ส.ว. 3 ที่มีลักษณะไม่เป็นไปตามที่กกต.กำหนดไว้ ผู้ร้องยื่นหนังสือแจ้งเบาะแสการทุจริตให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ทราบ แต่ผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีมติยกคำร้องดังดังกล่าว แสดงให้เห็นเจตนาเอื้อประโยชน์ต่อผู้สมัครรับเลือกเป็น สว. และเป็นการลิดรอนสิทธิการได้รับเงินรางวัลในการแจ้งเบาะแส
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ ผู้ร้องได้เคยยื่นคำร้องในลักษณะเดียวกันกันนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ 77/2567 (เรื่องพิจารณาที่ ต.62/2567) ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา การยื่นคำร้องดังดังกล่าวจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 46 วรรคสาม กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่น คำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213