เมืองไทย 360 องศา
ทราบผลการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดเชียงรายออกมาแล้วว่า ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย คือนายสง่า พรมเมือง ชนะผู้สมัครจากพรรคประชาชนคือ นายสุทัศน์ ยาละ แบบขาดลอย
เมื่อวันที่ 15 กันยายน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ได้สรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตำแหน่งที่ว่าง ที่ประกอบด้วย อำเภอแม่จัน (เฉพาะตำบลจันจว้าและตำบลจันจว้าใต้) อำเภอเชียงแสน อำเภอดอยหลวง อำเภอเชียงของ (เฉพาะตำบลครึ่ง ตำบลศรีดอนชัย ตำบลริมโขง ตำบลเวียง ตำบลสถาน และตำบลห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น โดยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีทั้งสิ้น 133,960 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 79,288 คน คิดเป็นร้อยละ 59.19 บัตรดี 65,477 ใบ คิดเป็นร้อยละ 82.58 บัตรเสีย 3,072 ใบ คิดเป็นร้อยละ 3.87 และบัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 10,739 ใบ คิดเป็นร้อยละ 13.54
สำหรับผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่ นายสง่า พรมเมือง ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนเสียงทั้งสิ้น 45,615 คะแนน ตามมาด้วยนายสุทัศน์ ยาละ ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคประชาชนได้รับคะแนนเสียงทั้งสิ้น 19,862 คะแนน
ทั้งนี้ มาตรา 125 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 กำหนดให้ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด และมีคะแนนมากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใด เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานกกต.จะดำเนินการตรวจสอบและรวบรวมรายงาน ผลการนับคะแนน พร้อมทั้งพิจารณาคำร้องหรือเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
หากไม่มีเหตุ อันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และไม่มีคำร้องคัดค้านภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด คณะกรรมการการเลือกตั้งจะพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ภายใน 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง
ทั้งนี้การเลือกตั้งซ่อมดังกล่าวที่จังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นหลังจาก นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาล ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพการเป็น ส.ส.และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเวลา10 ปี
แน่นอนว่า จากผลการเลือกตั้งซ่อมดังกล่าวย่อมสร้างความดีใจให้กับพลพรรคเพื่อไทย รีบมีการโพสต์ ลงโซเชียล และมีการชื่นชมแบบ “อวยนายหญิง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคกันทันควัน ทำนองว่าภายใต้การนำของเธอ ได้ทำให้พรรคยังเข้มแข็ง อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้วย่อมต้องมีความรู้สึกที่ผิดเพี้ยนแน่นอน เพราะหากพิจารณาตามผลคะแนนแล้ว คะแนนที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยได้รับถือว่าลดน้อยลงมาก และสำหรับพื้นที่เขต 7 เชียงรายดังกล่าวยังเป็นเขตฐานเสียงเฉพาะตัวของครอบครัว “เชื้อเมืองพาน” มาอย่างยาวนานอยู่แล้ว และที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือ “คะแนนโหวตโน” สูงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไร การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ ก็ยังถือว่ามีผลดีมากกว่าผลร้าย เพราะหากพลาดท่าพ่ายแพ้ ก็จะยิ่งเลวร้ายหนักแน่
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาทางฝั่งพรรคประชาชนบ้าง ผลจากการเลือกตั้งซ่อมคราวนี้ ก็ยังสะท้อนภาพเดิมๆ ให้เห็นคือ “ยังไม่ไปถึงไหน” นั่นคือไม่ได้แรงหรือ “ปังจริง” เหมือนกับผลการเลือกตั้งซ่อมในหลายพื้นที่ที่ผ่านมา ที่พรรคประชาชนพ่ายแพ้มาตลอด หรือแม้แต่การเลือกตั้งท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นระดับเทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศ
และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงกระแสพรรคประชาชน หากพิจารณาจากระดับการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่เพิ่งเกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา เป็นการเลือกตั้งซ่อมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
ศูนย์อำนวยการการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) รายงานผลการเลือกตั้งซ่อม สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สงขลา แทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจากนายสิรดนัย พลายด้วง หรือ สจ.กอล์ฟ อดีต ส.อบจ.สงขลา เขต 7 อ.หาดใหญ่ บุตรชาย นายสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกดำเนินคดีข้อหลายคดี จากข้อหาสั่งลูกน้องรุมทำร้ายตชด. ขณะปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน่วยเลือกตั้ง
โดยมีผู้สมัคร 2 ราย คือ 1. นายนรุตม์ชัย สอนคง หรือ ดร.พระราม ทีมสงขลาพลังใหม่ ของนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม นายก อบจ.สงขลา คนสนิทของ นายสมยศ พลายด้วง และ 2.นายอนลอัทธ์ พลธนนินท์ธัญ จากทีมพรรคประชาชน
ปรากฏว่าคะแนนเลือกตั้งซ่อม ส.อบจ.เขต 7 อ.หาดใหญ่ อย่างไม่เป็นทางการ ดังนี้ หมายเลข 1 นายนรุตม์ชัย สอนคง ได้ 6,466 คะแนน ซึ่งทิ้งห่างคู่แข่งจากทีมพรรคประชาชนอย่างขาดลอย โดยหมายเลข 2 นายอนลอัทธ์ พลธนนินท์ธัญ ได้เพียง 2,043 คะแนน ทั้งนี้มีบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 3,955 บัตร
ที่น่าสนใจก็คือนอกเหนือจากผู้สมัครจากพรรคประชาชนจะพ่ายแพ้ย่อยยับแล้ว คะแนนของ “โหวตโน” พุ่งสูงมาก สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนว่ารู้สึกอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งนี้
ก่อนหน้านี้ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ความคาดหวังต่อพรรคการเมืองไทย ณ วันนี้” ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายน 2568 มีคำถามว่า หากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้ จะเลือกพรรคประชาชน ร้อยละ 23.94 รองลงมา คือ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 14.20 และยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 21.35
ผลสำรวจดังกล่าวกลับสะท้อนให้เห็นว่า หากมีการเลือกตั้งพรรคประชาชนจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด และทิ้งห่างพรรคภูมิใจไทย ที่มาเป็นอันดับสอง และทิ้งพรรคเพื่อไทยเป็นอันดับสาม เป็นอันมาก ที่น่าสนใจอีกก็คือ เป็นครั้งแรกที่ผลสำรวจออกมาว่า พรรคภูมิใจไทยของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กำลังเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล ได้รับความนิยมเหนือพรรคเพื่อไทย แต่ขณะเดียวกัน ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด
แม้ว่าผลการเลือกตั้งซ่อม และการเลือกตั้งท้องถิ่นเพียงเขตเดียว อาจจะยังไม่อาจชี้วัดอะไรได้มากนัก แต่อย่างน้อยมันก็พอสะท้อนให้เห็นภาพบางอย่างจากผลการเลือกตั้งที่ออกมา เพราะแสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยนาทีนี้ กระแสความนิยมได้ลดลงไปมาก ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับพรรคประชาชน ก็ “ยังไม่ได้แรงจริง” หากบอกว่าสนามเลือกตั้งภาคเหนือ จะเป็นพื้นที่ที่พรรคนี้กำลังเติบโตก็อาจไม่จริงเสมอไป
แต่เอาเป็นว่าหากประเมินตามภาพจริงที่เห็น ก็พอจะเห็นสภาพการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าจะมีการขับเคี่ยวกัน “สามพรรค” คือประชาชน ภูมิใจไทย และ เพื่อไทย โดยพรรคที่น่าจับตาว่ากำลังเติบโตไล่เบียดพรรคเพื่อไทย “ทับซ้อน” ไปทุกพื้นที่โดยเฉพาะในภาคอีสาน ขณะที่ภาคใต้นาทีนี้ถือว่าโดดเด่นกว่าใคร ขณะที่พรรคประชาชนนั้น ด้วยบรรยากาศที่หมดยุคเผด็จการ ความร้อนแรงก็จะลดลง และยิ่งกระแส “ทหาร” เป็นฮีโร่แบบนี้ยิ่ง “เบรก” ไม่ให้เติบโต แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นพรรคใหญ่ แต่โอกาสแลนด์สไลด์ แบบเสียงข้างมาก แทบมองไม่เห็น!!