“สมศักดิ์” นำบอร์ด สปสช. เดินหน้าขยายบริการบัตรทอง เพิ่ม “มิตรภาพบำบัด–ฟื้นฟูผู้ใช้สารเสพติด–พัฒนาทักษะสื่อสารคนหูหนวก” พร้อมโชว์ผลนับคาร์บ 42 ล้านคน ประหยัดค่ารักษา 787 ล้าน/ปี
วันนี้( 1 ก.ย. )นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้รายงานความคืบหน้าการรณรงค์ “นับคาร์บ” และการดำเนินงานคลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) รักษาหาย โดยตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.–24 ส.ค. 2568 มีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมนับคาร์บแล้วกว่า 42,206,405 คน เข้ารับการรักษา NCDs จำนวน 267,847 คน สามารถประหยัดค่ารักษาพยาบาลได้ถึง 787.94 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ยังมีการดำเนินงานนับคาร์บในเขตกรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 15–18 ส.ค. ที่ผ่านมา จัดแล้ว 11 เวที มีอาสาสมัครสาธารณสุขเสริม (อสส.) เข้าร่วมกว่า 4,000 คน จาก 34 เขต และคาดว่าจะเปิดเพิ่มอีก 2 เวที โดยแต่ละครั้งที่จัดเวที มักได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาการบริหารจัดการในพื้นที่ กทม. ซึ่งอยากให้บอร์ด สปสช. ลงพื้นที่ร่วมกิจกรรมด้วย
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบข้อเสนอให้องค์กรภาคประชาชน องค์กรเอกชน หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง สามารถขึ้นทะเบียนเป็น “สถานบริการสาธารณสุขอื่น” ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ใน 3 ประเภทบริการ ได้แก่ บริการมิตรภาพบำบัด บริการสำหรับผู้ใช้สารเสพติด และบริการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก
พร้อมเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่องกำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ สปสช. ดำเนินการตามขั้นตอนและเสนอให้ รมว.สาธารณสุขพิจารณาลงนาม รวมถึงจัดทำระบบกำกับติดตามและประเมินผลต่อเนื่อง การพิจารณานี้ถือเป็นผลสืบเนื่องจากมติบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 2/2563 (3 ก.พ. 63) ที่วางแนวทางให้องค์กรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.สถานพยาบาล สามารถขึ้นทะเบียนเป็น “หน่วยบริการสาธารณสุขอื่น” ได้ เพื่อขยายการเข้าถึงบริการของประชาชนในระบบบัตรทอง
ด้านนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า บริการทั้ง 3 ประเภทถือเป็นการเพิ่ม “หน่วยบริการทางเลือก” ในระบบบัตรทอง เริ่มจาก บริการมิตรภาพบำบัด ภายใต้แนวคิด “เพื่อนช่วยเพื่อน” (Peer support) ที่เน้นการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวมและต่อเนื่อง ทั้งในบ้านและชุมชน ครอบคลุมผู้ป่วยมะเร็ง โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไตวาย โรคเลือด โรคหายาก ตลอดจนผู้ป่วยจิตเวชที่อาการทุเลา โดยจัดบริการให้คำปรึกษา การแลกเปลี่ยนทักษะการดูแลตนเอง การให้กำลังใจ และการประสานงานกับบุคลากรแพทย์
สำหรับบริการผู้ใช้สารเสพติด เน้นการฟื้นฟูและลดอันตราย โดยให้การดูแลต่อเนื่องหลังการบำบัด เนื่องจากพบว่าผู้ผ่านการบำบัดกว่า 2 ใน 3 กลับมาเสพซ้ำ ขอบเขตบริการครอบคลุมการฟื้นฟูสมรรถภาพ การให้คำปรึกษา สอนทักษะชีวิต ติดตามเยี่ยมบ้าน รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการลดอันตรายและส่งต่อผู้ป่วย
ส่วนบริการพัฒนาทักษะการสื่อสารสำหรับคนหูหนวก มีเป้าหมายเพื่อการดำรงชีวิตอิสระ เนื่องจากคนหูหนวกจำนวนมากไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้ขาดโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพและไม่กล้าเข้าสังคม การจัดบริการนี้จะเปิดโอกาสให้ศูนย์บริการคนพิการและองค์กรคนพิการที่ได้รับการรับรองเข้ามาเป็น “สถานบริการอื่น” ตามมาตรา 3 โดยเน้นการฟื้นฟูทักษะการสื่อสาร เช่น การใช้ภาษามือ การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ และการดูแลสุขภาพกาย–จิตในระดับพื้นฐาน ตามมาตรฐานของสถาบันราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล
นพ.จเด็จย้ำว่าหน่วยบริการทั้ง 3 ประเภทจะต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติและได้รับการรับรองมาตรฐาน รวมถึงบุคลากรผู้ให้บริการต้องผ่านการอบรมตามเกณฑ์ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงสุด