เวทีเสวนาปฏิรูปพลังงาน ชี้ไทยติดหล่มฟอสซิล-ก๊าซนำเข้า ประชาชนแบกรับค่าไฟแพงเกินจริง นักวิชาการเตือนทุนใหญ่ยึดกุมรัฐ-ผูกขาดตลาด เสนอปลดแอกผูกขาด เปิดทางประชาชนผลิตพลังงานหมุนเวียน
วันนี้(25 สค68) ได้มีการจัดเวทีเสวนา “ปฏิรูปพลังงานไทย ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม…ก้าวต่อไปอยู่ตรงไหน” จัดโดยสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับศูนย์กฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีนักวิชาการ และตัวแทนองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนปฏิรูปพลังงานไทยร่วมเสวนา
โดยได้มีการนำเสนอข้อมูล สถิติ ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ายังเน้นการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล และติดหล่มก๊าซธรรมชาติที่ต้องนำเข้าในปริมาณที่สูงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับโลกที่ไปใช้พลังงานหมุนเวียน และลดภาวะก๊าซเรือนกระจก ขณะที่การจัดหาพลังงานหมุนเวียนของไทย ถูกกำหนดราคารับซื้อโดยไม่ผ่านการประมูล ราคาแพงสวนทางกับเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้า ที่ราคาลดลง ส่งผลให้ประชาชนแบกรับภาระค่าไฟฟ้าแพงเกินความจำเป็น
ผศ.ดร.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ทิศทางแบบนี้ ลดทอนความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ทำให้ประเทศเป็นง่อย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปหายนะแน่นอน
ขณะที่ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต ชี้ว่า จนถึงขณะนี้เราไม่สามารถขยับตัวได้ เรียกว่ากลับตัวก็ไม่ได้ จะไปก็ไปไม่ถึง ติดหล่มปัญหาลึกลงเรื่อยๆ ถ้าเราไม่เปลี่ยนวันนี้ ก็จะไม่เจอเส้นทางใหม่
ในเวทีดังกล่าวยังพูดถึงความเชื่อมโยงขององค์กรกำหนดนโยบาย ที่เอื้อกลุ่มทุนพลังงาน จนสงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะจากนโยบายทำให้กลุ่มทุนพลังงานเติบโตและแข็งแกร่งเข้าไปยึดกุมกลไกรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ กระทั่งแทรกแซงการเมือง เพื่อสร้างฐานอำนาจ ยึดครองตลาดผูกขาดการลงทุน ไม่ให้มีการแข่งขันเสนอราคาผลิตไฟฟ้า หรือเปิดพื้นที่ให้กับประชาชนในการผลิตไฟฟ้าเอง
นายชื่นชม สง่าราศี กรีเซน นักวิชาการอิสระด้านไฟฟ้า และพลังงาน วิเคราะห์ว่า ทุนพลังงานพัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งเข้าไปยึดกุมรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ แทรกแซงการเมือง คุมสื่อ แจกกล้วยในสภาฯ นี่คือการแผ่อำนาจ ทำให้ธรรมาภิบาลถดถอย การแข่งขันหรือพัฒนาพลังงานถูกคุมกำเนิด ทุนใหญ่เข้ายึดครองพื้นที่การลงทุน และตอนนี้เราถึงจุดวิกฤตแล้ว
ในวงเสวนายังมีข้อเสนอให้ขับเคลื่อนปลดแอกการผูกขาดของกลุ่มทุน โดยผลักดันการปฏิรูปพลังงาน พัฒนาพลังงานหมุนเวียน นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง ผ่านช่องทางกฎหมายอย่างเป็นระบบ แลแผน PDP ใหม่ที่มีความ โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และถูกต้องตามหลักวิชาการ ผลักดันให้ประชาชนเข้าถึงการผลิตพลังงานหมุนเวียนแทนกลุ่มทุนพลังงาน สนับสนุนให้องค์กรท้องถิ่นมีสิทธิกำหนดทิศทางพลังงานของตัวเอง รวมถึงเสนอกฎหมายห้ามผู้บริหารองค์กรที่กำหนดนโยบายมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับกลุ่มทุนพลังงานเด็ดขาด
นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิจัยและนักวิชาการอิสระด้านการเงิน ระบุว่า แผน PDP จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้ประชาชน ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางพลังงาน ลดการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อน และต้องตั้งเรื่องฟ้องคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ฐานไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง รวมถึงขับเคลื่อนบริษัทพลังงาน และธุรกิจอื่นเลิกวิธีการฟ้องปิดปาก