“เอกสิทธิ์” รับการเมืองกระทบหนักเศรษฐกิจ-ลงทุน เหตุ ภาคธุรกิจรอความชัดเจนคดีนายกฯ 29 ส.ค.นี้ ชี้ ขึ้นค่าแรง 400 บาททำไทยถูกเวียดนามแซงหน้า ห่วงเสถียรภาพรัฐบาลชี้ชะตาประเทศ
นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรคปวงชนไทย ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองครึ่งปีหลัง 2568 นี้ว่า ยังไร้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่น่ากังวลคือถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นเป็นหมุดหมายใหม่ของนักลงทุน หลังจากที่นโยบายรัฐบาลไม่ชัดเจน ไร้ "แม่เหล็ก" ที่น่าสนใจดึงดูดโครงการใหญ่จากนักลงทุนต่างชาติ สะท้อนภาพวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังถูกฉุดรั้งด้วยเพราะปัญหาการเมือง ที่ยังคลุมเครือไม่ชัดเจน โดยคู่แข่งของไทยขณะนี้เป็น เวียดนาม ที่เร่งเดินหน้าประกาศการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งอสังหาริมทรัพย์และเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์ แต่ประเทศไทยกลับยังไม่ขยับไปไหน และนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนและญี่ปุ่น เริ่มมองหาประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า
ขณะเดียวกัน นายเอกสิทธิ์ มองว่า การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในอุตสาหกรรมโรงแรม กลายเป็นความเสี่ยงสำคัญที่กำลังบีบคั้นภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเป็นการซ้ำเติมธุรกิจ SMEs ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวน้อย เช่นเมืองรอง ผลักให้ต้องเผชิญกับต้นทุนมหาศาล และอาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานและปิดกิจการในที่สุด
นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าแรงยังเป็นปัจจัยเร่งให้นายจ้างหันไปใช้ เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ทดแทนแรงงานคนมากขึ้น เพราะนักลงทุนมองว่าเป็นการลงทุนก้อนเดียวที่คุ้มค่ากว่า ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และไม่ต้องบริหารจัดการเรื่องสวัสดิการและค่าใช้จ่ายบุคลากรที่ซับซ้อน พร้อมกันนี้นายเอกสิทธิ์ ยังแสดงความกังวลต่อมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะนำแรงงานจากศรีลังกาเข้ามาทดแทนแรงงานกัมพูชา ว่า อาจไม่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมที่ขาดแคลน ทั้งเกษตรกรรม,ประมง และก่อสร้าง เนื่องจากแรงงานศรีลังกาถนัดงานฝีมือหรืองานบริการมากกว่า และอาจมีปัญหาด้านการสื่อสาร รวมถึงต้นทุนค่าเดินทางที่สูงกว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมาและลาว
หัวหน้าพรรคปวงชนไทย ยอมรับว่า ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยอย่างหนักในตอนนี้ คือ "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" จากกรณีคดีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการตัดสินในวันที่ 29 ส.ค. 2568 นี้ ทำให้ทั้งนักลงทุนและตลาดทุนชะลอการตัดสินใจเพื่อรอความชัดเจนในทิศทางของประเทศก่อน จึงอยากเสนอแนะให้รัฐบาล เร่งออกมาตรการมาช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ อันดับแรกต้องแต่งตั้งผู้ที่มีความเชี่ยวชาญให้ตรงกับงานเข้ามาบริหารทุกกระทรวง เร่งพัฒนาฝีมือแรงงานนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มเติม จึงขอให้รัฐบาลมองประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งให้มากกว่านี้
“ตอนนี้การเมือง เศรษฐกิจ นักลงทุน ทุกฝ่ายต่างรอความชัดเจน ยังไม่กล้าจะลงทุนเพราะต้องรอดูสถานการณ์ก่อน อาจจะต้องเปลี่ยนตัวนายกฯหรือไม่ หรือถ้าไม่หลุดจากตำแหน่ง ม็อบจะมาหรือเปล่า ซึ่งการเมืองเป็นเรื่องซับซ้อน แต่มีผลอย่างมากกับนักลงทุนเป็นจุดที่กังวลมากที่สุด ดังนั้น การเมืองต้องมั่นคงชัดเจน ในรัฐบาลต้องคุยประสานกันให้เกิดความปรองดอง เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นนักลงทุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง" นายเอกสิทธิ์ ย้ำ