xs
xsm
sm
md
lg

สภาพัฒน์ เปิดข้อมูล "เศรษฐีแลนด์ลอร์ด" มนุษย์ TOP 1% ของประเทศ ถือครองโฉนดที่ดินทั้งหมด เฉลี่ย 1 คน /81 ไร่ มูลค่า 35 ล้าน/คน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาพัฒน์ เปิดผลการศึกษา “การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทย” พบ "กลุ่มแลนด์ลอร์ด" (TOP 1%) ถือครองโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศ เฉลี่ย 1 คน ถือครอง 81 ไร่ มูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน ยังพบว่า กลุ่ม "TOP 1" ถือครองสูงถึงร้อยละ 16.78 แถมเป็นที่ดินมีมูลค่า สูงถึงร้อยละ 34.91 ยังพบส่วนใหญ่ถือครองโฉนด "ปริมณฑล-ตะวันออก" เพียบ! แถมถือครอง "น.ส. 3 ก.-น.ส. 3" ในภาคตะวันตก-ภาคกลาง อื้อ! เผย "เศรษฐีเมืองกรุง" นิยมลงทุนข้ามถิ่น ถือครองที่ดินในจังหวัดอื่น ร้อยละ 5 ของพื้นที่ประเทศ พบ ที่ดิน "ปทุมธานี นครนายก สมุทรปราการ" ยังเป็นพื้นที่ยอดนิยม

วันนี้ (17 ส.ค.2568) มีรายงานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาพัฒน์ จัดประชุมการระดมความคิดเห็นผลการศึกษาสถานการณ์และบทบาทภาครัฐในการถือครองที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อนำเสนอผลการศึกษา เรื่อง การศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย

รวมถึงรับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคีเครือข่ายต่าง ๆ

อาทิ กรมที่ดิน กรมธนารักษ์ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ศาสตราจารย์ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงมณี เลาวกุล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาวิน ศิริประภานุกูล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์ และศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์

สภาพัฒน์ ชี้แจงถึงถึงความสำคัญของสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

และนำไปสู่การเกิดความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงข้อจำกัดของการศึกษาประเด็นดังกล่าวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่มีงานศึกษาที่สำคัญจำนวนน้อยมากในประเทศไทย

เช่น งานศึกษา เรื่อง “การกระจุกตัวของความมั่งคั่งในสังคมไทย” ในปี 2556 ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงมณี เลาวกุล ซึ่งความอนุเคราะห์ข้อมูล จากกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง 

ที่เป็นส่วนสำคัญยิ่งสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ ทำให้ผลการศึกษาในครั้งนี้มีความน่าเชื่อถือ

ทั้งนี้ นายมนตรี ภูศรีโสม และนางสาวณัฐวรรณ ชูเฉลิม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ กองพัฒนาข้อมูลและตัวชี้วัดสังคม ร่วมกันนำเสนอผลการศึกษาและข้อค้นพบจากการศึกษาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินในประเทศไทย

โดยมีขอบเขตการศึกษาเฉพาะการถือครองโฉนดที่ดิน น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ทั้งที่ถือโดยบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ซึ่งครอบคลุมขนาดพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดในประเทศไทย

ผลการศึกษา พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาคของการถือครองโฉนดที่ดินมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด (Gini อยู่ที่ 0.7298) รองลงมาคือ น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3

"ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และหากเทียบกับความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ในปี 2566 อยู่ที่ 0.417 สูงกว่าเกือบสองเท่า"

ขณะที่หากพิจารณาจากขนาดของที่ดิน กลุ่ม Decile 10 (ถือครองมากที่สุด) มีส่วนแบ่งการถือครองที่ดินสูงกว่ากลุ่ม Decile 1 (ถือครองน้อยที่สุด) อยู่ที่ 710 เท่า และหากพิจารณาจากมูลค่าการถือครองที่ดิน กลุ่ม Decile 10 สูงกว่า Decile 1 อยู่ที่ 348 เท่า

"กลุ่ม Top 1% มีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากขนาดที่ดินสูงถึงร้อยละ 16.78 ของโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศไทย และมีส่วนแบ่งการถือครองที่วัดจากมูลค่าสูงถึงร้อยละ 34.91"

หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ปริมณฑลและภาคตะวันออก มีความเหลื่อมล้ำการถือครองโฉนดที่ดินสูงสุด ส่วนเอกสารสิทธิประเภท น.ส. 3 ก. และ น.ส. 3 ภาคตะวันตกและภาคกลางมีความเหลื่อมล้ำสูงสุด ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบว่า นิติบุคคลมีการกระจุกตัวของการถือครอง มากกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งด้านขนาดพื้นที่และมูลค่า โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี สำหรับข้อค้นพบสำคัญ พบว่า

(1) การลงทุนข้ามถิ่น คนกรุงเทพฯ เข้าไปถือครองที่ดินในจังหวัดอื่น ๆ (ไม่รวม กรุงเทพฯ) สูงถึงร้อยละ 5 ของพื้นที่ประเทศไทย และจังหวัดที่คนนิยมไปลงทุนซื้อที่ดิน 3 จังหวัดแรก ได้แก่ ปทุมธานี นครนายก และสมุทรปราการ

(2) คนกลุ่ม Top 1% ถือครองที่ดินค่อนข้างสูง โดยมีที่ดินเฉพาะโฉนดที่ดินเฉลี่ย 81 ไร่ต่อคน และมูลค่าเฉลี่ย 35 ล้านบาทต่อคน

และ (3) รูปแบบการถือครองที่ดินของคนกลุ่ม Top 1% มักถือครองที่ดินในจังหวัดที่อยู่ติดกับจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่เป็นหลัก และจะลดจำนวนลงเมื่อที่ดินอยู่ห่างจากจังหวัดที่ตนเองอาศัย 

ยกเว้นในพื้นที่เศรษฐกิจหรือเมืองใหญ่บางแห่งที่คน Top1% มักไปซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อสะสมทุน

จากนั้นได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นแนวทางการวิเคราะห์และการขยายผลการศึกษาในอนาคต อาทิ

(1) การวิเคราะห์ลักษณะทางสังคมของผู้ถือครองที่ดิน ได้แก่ ความสามารถในการถือครอง (รายได้เฉลี่ย วิธีการได้มาของที่ดิน ฯลฯ) 

วัตถุประสงค์การถือครองเพื่อการอยู่อาศัยหรือการประกอบอาชีพ และช่วงอายุ (หรือ Generation) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการถือครองที่ดิน

(2) การวิเคราะห์เชื่อมโยงกับ “แผนที่ภาษี” ซึ่งจะทำให้เห็นภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินรวมถึงอาคารและสิ่งปลูกสร้างในแต่ละพื้นที่

และ (3) การขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมประชากรกลุ่มที่ไม่มีที่ดิน ตลอดจนที่ดินประเภทอื่น ๆ ซึ่งอาจรวมถึงการเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ

นอกจากนี้ ยังมีการให้ข้อเสนอแนะในเรื่องการจัดทำนโยบายเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงที่ดินของประชาชนผู้มีรายได้น้อย

โดยควรมุ่งเน้นการปรับปรุงมาตรการภาครัฐให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทั้งในชนบทและในเขตเมือง อาทิ

(1) การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของเอกชนที่มีความยืดหยุ่นและตอบสนองกับความต้องการของประชาชนผ่านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสม

โดยภาครัฐสามารถใช้มาตรการทางภาษีเพื่อดึงดูดให้เอกชนจัดสรรพื้นที่ให้ผู้มีรายได้น้อยได้เข้าใช้ประโยชน์ และนำไปใช้เป็นส่วนลดหย่อนภาษีได้

(2) แนวคิดในการใช้ประโยชน์ที่ดินในแนวตั้ง โดยเฉพาะในเขตเมือง เช่น มาตรการจูงใจเจ้าของอาคารสูงให้จัดสรรพื้นที่ส่วนหนึ่งของอาคารเป็นศูนย์อาหารราคาประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อแลกกับการลดหย่อนภาษี

(3) การเข้าถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐ ผ่านการกำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายข้อจำกัดและอนุญาตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในงานราชการได้

และ (4) การสนับสนุนแนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐแบบกลุ่ม สหกรณ์ หรือชุมชน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างความเป็นธรรมและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรของประเทศได้อย่างยั่งยืน.


กำลังโหลดความคิดเห็น