สภาฯ เปิดถกงบปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน “พิชัย” แจงปรับลด 8,920 ล้าน เหตุไม่สอดคล้องสถานการณ์-ใช้ไม่ทันปีงบฯ ปรับเพิ่มบางหน่วยรับมือเศรษฐกิจชะลอ-ฝุ่น PM2.5-ดูแลคนพิการ-ติดตามผู้คุมประพฤติยาเสพติด ย้ำงบต้องคุ้มค่า ไม่ซ้ำซ้อน สอดคล้องนโยบาย รักษาเสถียรภาพการคลังเพื่อรองรับวิกฤติในอนาคต
วันนี้ (13 ส.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ในวาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ได้พิจารณาแล้วเสร็จ โดยเป็นวันแรกของการอภิปราย มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ.ฯ รายงานผลการพิจารณาต่อที่ประชุมว่า การปรับลดงบประมาณในครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 8,920 ล้านบาท เกิดจากการตรวจสอบความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและประสิทธิภาพการใช้จ่ายของหน่วยงาน โดยมีการตัดงบในส่วนที่ไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันในปีงบประมาณ รายการผูกพันงบประมาณเดิมที่ต่ำกว่าที่เสนอ รายการที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล หรือดำเนินการแล้วแต่ไม่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการที่สามารถชะลอได้โดยไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน ตลอดจนรายการที่สามารถใช้เงินจากแหล่งอื่น เช่น เงินสะสม เงินนอกงบประมาณ หรือรายได้ของหน่วยงานเอง
ขณะเดียวกัน มีการปรับเพิ่มงบประมาณให้หน่วยงานที่จำเป็นเพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว และความท้าทายจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น งบกลาง เพื่อเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินจำเป็น สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มในส่วนเงินเดือนบุคลากรของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กระทรวงการคลัง เพิ่มให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเพื่อจัดประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารโลก ปี 2569 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพิ่มค่าใช้จ่ายสนับสนุนการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคนพิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่มงบให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) กระทรวงยุติธรรม เพิ่มงบให้กรมคุมประพฤติในการติดตามผู้ต้องคุมประพฤติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และงบชำระคืนกองทุนประกันสังคม รวมถึงรัฐวิสาหกิจในส่วนค่างานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ตลอดจนจัดสรรให้หน่วยงานศาลและองค์กรอิสระเพื่อเป็นงบบุคลากรและสนับสนุนการดำเนินงานตามภารกิจ
นอกจากนี้ กมธ.ยังได้ปรับเปลี่ยนการจัดสรรในบางรายการ เช่น ลดงบกระทรวงสาธารณสุข 70 ล้านบาท ในส่วนการถ่ายโอนบุคลากร เพื่อนำไปเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเงินอุดหนุนบุคลากรสำหรับสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และปรับลดงบกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 114 ล้านบาท เพื่อนำไปสนับสนุนเทศบาลเมือง 3 แห่ง และเทศบาลตำบล 1 แห่ง หลังการยุบรวมองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย
นายพิชัยย้ำว่า การพิจารณารายละเอียดงบประมาณในครั้งนี้ กมธ.ให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงาน งบประมาณต้องไม่ซ้ำซ้อน มีเป้าหมายชัดเจน สอดคล้องกับภารกิจและนโยบายรัฐบาล ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาของประชาชนโดยตรง และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมคงเสถียรภาพทางการคลัง เพื่อให้ประเทศมีพื้นที่การคลังเพียงพอสำหรับรับมือวิกฤติในอนาคต โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม