สธ. เตรียมจัดกิจกรรม 25 เวที ครอบคลุม 50 เขต ดึง อสส. 13,000 คน ช่วยสอนประชาชนนับคาร์บ หลังขับเคลื่อนทั่วประเทศสำเร็จแล้ว 41 ล้านคน หายป่วย 2.6 หมื่น ลดค่าใช้จ่ายปีละ 717 ล.
วันนี้(8 ส.ค. ) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการป้องกันโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ในชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการ “กินเป็น ไม่ป่วย สวยหล่อ อายุยืน 100 ปี” โดยมี นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นประธานคณะทำงาน ร่วมด้วย นพ.วิชัย โชควิวัฒน, น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ, นายโฆสิต สุวินิจจิต และคณะทำงาน เข้าร่วมประชุม ณ กระทรวงสาธารณสุข
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะทำงานชุดนี้ขึ้นมาเพื่อวางแผน ส่งเสริม สนับสนุน และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในพื้นที่ กทม. ผ่านกลไก “อาสาสมัครสาธารณสุข” (อสส.) ครอบคลุม 50 เขต เนื่องจาก กทม.เป็นพื้นที่ที่ขับเคลื่อนด้านสุขภาพได้ล่าช้าที่สุดของประเทศ แม้แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ก็เข้าสู่พื้นที่ กทม.หลังสุด
“ผมอยากเห็นคนกรุงเทพฯ อายุ 100 ปีขึ้นไป จึงต้องเร่งลดโรค NCDs อย่างจริงจัง” นายสมศักดิ์ กล่าว พร้อมระบุว่ากิจกรรมนับคาร์บจะจัดขึ้น 25 ครั้ง เพื่อให้ อสส. 13,000 คน ลงพื้นที่สร้างการรับรู้ให้ประชาชนรู้จักนับคาร์บจากอาหาร เพราะต้นตอของโรค NCDs ส่วนใหญ่เกิดจากการกินมากเกินไป ไม่ใช่แค่การขาดสารอาหารอย่างในอดีต
ที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ขับเคลื่อนทั่วประเทศ โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1 ล้านคน ถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชน จนทำให้ประชาชนกว่า 41 ล้านคน เรียนรู้นับคาร์บได้ ส่งผลให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในคลินิก NCDs จำนวน 248,798 คน มีอาการดีขึ้น หายป่วย 26,056 คน, หยุดยา 16,201 คน, และสามารถ ลดค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพได้กว่า 717 ล้านบาทต่อปี
ด้าน นพ.วิชัย โชควิวัฒน ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ กล่าวว่าการขับเคลื่อนลดโรค NCDs เป็นงานยาก เพราะล้มเหลวมาแล้วหลายสิบปี ส่วนหนึ่งมาจากทัศนคติผิดๆ ที่เชื่อว่า “ลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายเท่านั้น” ทั้งที่ต้นเหตุหลักอยู่ที่พฤติกรรมการกินมากเกินไป โดยเฉพาะในยุคที่อาหารล้นเกิน เทียบกับอดีตที่โลกเคยขาดแคลน
“ในรอบ 100 ปี ประชากรโลกเพิ่มขึ้น 5 เท่า แต่อาหารเพิ่มขึ้น 100 เท่า เราต้องปรับการแก้ปัญหาให้ถูกจุด จากที่เคยแก้โรคขาดสารอาหาร มาสู่การแก้โรคจากการบริโภคเกิน” นพ.วิชัย กล่าว พร้อมแสดงความมั่นใจว่าแนวทางนับคาร์บนี้ มีโอกาสสำเร็จสูง หากได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน