ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ใกล้เข้ามาแล้ว!! ฤทธิ์มาตรา 144 จะกวาดนักการเมือง ทั้ง ครม.-สส.-สว. ลงทะเล
จากกรณี เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็น สส. และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง10 ปี
เนื่องจาก กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา144 “แปรงบไปลงพื้นที่เลือกตั้งของตัวเอง”
โดยมีพยานหลักฐานว่า 3 โครงการ เกี่ยวกับเยาวชน และสตรี ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ จ.เชียงราย มาจากการดำริของ “พิเชษฐ์” และกลุ่มงานรองประธานสภาคนที่ 1 เป็นผู้ริเริ่ม
โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ มีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการ ในงบ ปี 69 ซึ่งมีรูปแบบต่อเนื่องจากงบ ปี 68 อันเข้าข่ายเป็นการกระทำใดๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรค สอง และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(11)
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญฟัน “พิเชษฐ์” ให้สิ้นสภาพ สส.
“เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” อดีต สว. ในฐานะ กรรมาธิการงบประมาณ 2569 เห็นว่า ความผิดนี้ไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงแค่ตัว “พิเชษฐ์” แต่ “ครม.แพทองธาร” และ สส.ฝ่ายรัฐบาล ที่โหวตรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.งบปี 69 น่าจะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดด้วย
จึงทำหนังสือถึง ป.ป.ช. ขอให้รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คณะรัฐมนตรี และ ส.ส. ที่ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบ 69 จะต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือ สิ้นสุดสมาชิกภาพ ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 ด้วยหรือไม่
เพราะในการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบ ปี 69 วาระหนึ่ง ขั้นรับหลักการนั้น สส.ฝ่ายค้านได้อภิปราย ท้วงติงเกี่ยวกับงบประมาณดังกล่าวแล้ว แต่ ครม. มิได้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปแก้ไข และ สส. ได้ลงมติเห็นชอบในวาระที่หนึ่ง ด้วยคะแนนเสียง 322 เสียง
ต่อมา สส. รวม121 คน ได้เข้าชื่อร้องศาลรธน. ว่า “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” มีการกระทำอันฝ่าฝืน รธน. มาตรา 144 โดยกล่าวหาถึง ร่าง พ.ร.บ.งบ ปี 68 และ ร่าง พ.ร.บ.งบปี 69 ซึ่งต่อมา ศาลรธน. รับไว้วินิจฉัย เฉพาะร่าง พ.ร.บ.งบปี 69 และสุดท้ายก็มีผลการตัดสินชี้ขาดออกมาดังกล่าว
ดังนั้น ความผิดนี้ ไม่น่าจะจบที่ “พิเชษฐ์” เพราะ ครม.และ สส.อีก 332 คน ควรต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย
ล่าสุด “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ก็ยกเอากรณี “ครม.เศรษฐา ทวีสิน” และ “ครม. แพทองธาร ชินวัตร” โยกงบประมาณ จากการชำระหนี้-ดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารรัฐ 5 แห่ง ไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 3.5 หมื่นล้านบาท และการโอนงบเข้า “กองทุน ส.ส.–ส.ว.” มาเทียบเคียง
เพราะเห็นว่า เป็นการกระทำที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เหมือนกรณี “พิเชษฐ์”
แต่กรณีโยกงบไปแจกในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กระทบเป็นวงกว้างกว่า กรณีของ “พิเชษฐ์” เพราะนอกจาก “ครม.เศรษฐา -ครม.แพทองธาร” แล้วยังมี สส. ที่โหวตให้ความเห็นชอบ 309 คน รวมทั้ง สว. อีก 175 คนก็โหวตให้ผ่าน
“พี่ศรี” ย้ำว่า คำวินิจฉัยของศาลรธน. ถือว่าเป็นบรรทัดฐาน มีผลผูกพันรัฐสภา ครม. ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานรัฐ ซึ่งนำมาเทียบเคียงได้กับกรณีที่ส.ส.- ส.ว. รวม 484 คน และ ครม.ชุด นายเศรษฐา และชุดน.ส.แพทองธาร ที่มีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อม ในการโยกงบประมาณจากการชำระหนี้-ดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารรัฐ 5 แห่ง ไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 3.5 หมื่นล้านบาท และการโอนงบเข้า ‘กองทุน ส.ส.–ส.ว.’ อันอาจเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 อย่างชัดเจน
ตอนนี้ เรื่องอยู่ในชั้นสอบสวน ป.ป.ช. โดยรับเรื่องไว้เมื่อ วันที่ 9 มิ.ย. 68 ตามไทม์ไลน์กำหนดชั้นสอบสวน ที่รับว่าให้เสร็จโดยพลัน ภายใน 60 วัน
ดังนั้น วันที่ 9 ส.ค.นี้ ก็จะครบ 60 วัน ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัย
แต่ถ้าถึงวันที่ 9 ส.ค. แล้ว หากป.ป.ช.เพิกเฉย หรือประวิงเวลา อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน รัฐธรรมนูญ 234 (1) ซึ่งประชาชนสามารถเข้าชื่อกันถอดถอน ป.ป.ช. ตามมาตรา 236 ประกอบ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 ได้
และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับเรื่องไว้แล้ว ก็ต้องวินิจฉัยภายใน 15 วัน
ไม่เดือนสิงหาคม ก็ กันยายน นี้แหละ ก็จะรู้ว่า “เจ๊า” หรือ “เจ๊ง”
ถึงวันนั้น ทั้งรัฐบาล และรัฐสภา อาจถูกกวาดลงทะเล แบบล้างประเทศ ก็เป็นได้!!
++ “วิโรจน์” โดนสวนกลับเละ หลังหวัง "ทำเหนือ" สอนหมอ!
ร้อนไปทั่วโซเชียลฯ กรณี "วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ตอนนี้เป็นขวัญใจสายทัวร์ลง โพสต์คำสอนของ "สมเด็จพระบรมราชชนก" ที่ว่า "I do not want you to be only a dcotor but I also want you to be a man." หรือที่แปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า "อย่าเป็นแค่หมอ แต่จงเป็นคนด้วย "
ฟังดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการโพสต์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ แต่ที่จริงแล้ว... เจ้าตัวต้องการจุดไฟดรามา!
เพราะเป็นการโพสต์เพื่อสนับสนุนแนวคิดของตัวเอง และพลพรรคสีส้ม ที่ไป "แสดงความไม่เห็นด้วย" แซะโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ที่ยกเลิกการให้บริการล่าม และผู้ป่วยชาวกัมพูชาบางส่วน แบบตามจองเวรไม่เลิก ไม่รา
ทันทีที่โพสต์นี้เผยแพร่ไป...ก็เกิดปรากฏการณ์กวักมือเรียกทัวร์ลงเช่นเคย
ไม่ใช่แค่ชาวเน็ตทั่วไป คราวนี้ หมอ-พยาบาล-บุคลากรสาธารณสุข คนในวงการแพทย์ ต่างออกมาโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน เรียกว่าถล่มทลาย! โดยหลายคนมองว่า “วิโรจน์” กำลัง "อ้างคำสอนอันสูงส่งเพื่อตอกหน้าบุคลากรทางการแพทย์" โดยไม่ได้มองดูความจริงที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“รู้ไหมว่าคนไข้ล้นขนาดไหน?" "เงินก็ไม่ค่อยจ่าย แล้วโรงพยาบาลต้องแบกภาระเท่าไหร่?" หรือ คำถามที่เจ็บแสบอย่าง จรรยาบรรณแพทย์สูงส่งมาตลอด แล้วจรรยาบรรณของนักการเมือง มีมาตรฐานแบบแพทย์หรือไม่? "
บางคอมเมนต์ ถึงขนาดแนะให้ “วิโรจน์” รับสมัครแพทย์ไปตั้งโรงพยาบาลที่ชายแดนไปเลยดีกว่า เพราะดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ดีกว่าบุคลากรที่ทำงานอยู่หน้างานจริงๆ ซะอีก
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามา ก็มีคนในวงการแพทย์บางส่วนที่เคยเป็นแฟนคลับ “วิโรจน์และสีส้ม” มาก่อนก็ออกมาแสดงความผิดหวังอย่างแรง...โดยชี้ให้เห็นว่า การประกาศของโรงพยาบาลเป็นเพียง "การบริหารจัดการความเสี่ยง" เท่านั้น ไม่ใช่การปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินแต่อย่างใด
งานนี้...วิโรจน์หน้าหงาย โพสต์ที่ตั้งใจจะทำ "เหนือ" เพื่อสร้างแต้มต่อทางการเมืองกลับกลายเป็น "บูมเมอแรง" ที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองซะอย่างนั้น
เพราะแทนที่จะได้ใจ กลับได้เสียงก่นด่าจากบุคลากรด่านหน้า ซึ่งที่ผ่านมาก็เหนื่อยล้าจนแทบจะขาดใจ ยังต้องมาเจอ "ตัวตึง" ที่ไม่รู้สี่ รู้แปด ของแทร่.