xs
xsm
sm
md
lg

ไทย-เขมร ไม่เหมือนเดิม ต่างคนต่างอยู่แล้วกัน !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ท.บุญสิน พาดกลาง - พล.ท.มาลี โสเจียตา
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าจะมีการหยุดยิงกันไปแล้วระหว่างไทยและกัมพูชา แต่ขณะเดียวกันความตึงเครียดและความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ยังไม่ได้ลดลงเลย ตรงกันข้ามยังมีแนวโน้มฝังรากลึกอย่างชัดเจน จนไม่มีทีท่าว่าความสัมพันธ์จะกลับมาเหมือนเดิมได้เลย จนทำให้พอมองเห็นภาพในอนาคตได้อย่างดี

หากโฟกัสมาที่ประเทศไทยและคนไทย จะเห็นได้ว่าทัศนคติ และความรู้สึกที่มีต่อกัมพูชา และคนกัมพูชาในเวลานี้ได้เปลี่ยนไปเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่อาจเป็นแค่คนไทยจำนวนไม่มากนัก ที่มองภาพ “กัมพูชา” ที่ว่า “คบไม่ได้” ทำนองว่า “พวกลูกหลานละแวก คบไม่ได้” มีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ย้อนไป ในเรื่อง “แว้งกัด” ไทยทีเผลออยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่าในความเป็นจริงที่ประเทศกัมพูชาถือกำเนิดมาในยุคสมัยใหม่ในเวลานี้ ส่วนสำคัญล้วนมาจากการอุ้มชูและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากประเทศไทย

เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ตอนนั้นเขมรอยู่ในยุค “บ้านแตกสาแหรกขาด” ต้องอพยพหนีตายเข้ามาฝั่งไทย และได้รับความเมตตาให้ข้าวให้น้ำ เปิดค่ายอพยพให้เข้ามาลี้ภัยหลายแสนคน ต่อเนื่องกันนานนับสิบปี ขณะเดียวกัน การพัฒนา การลงทุนภายในประเทศกัมพูชา ก็ปรากฏว่าประเทศไทยก็ให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งประเภทให้เปล่า เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

แต่ในที่สุดเมื่อเกิดเหตุกรณีที่ผู้นำกัมพูชา คือ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สั่งทหารรุกรานไทย รวมทั้งที่ผ่านมาพวกเขายังมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรกับไทยมานาน มีการให้ความช่วยเหลือ นายทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว มานาน จนถึงขั้นที่ถูกมองว่า พวกเขามี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” แต่เมื่อผลประโยชน์ขัดกันส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศถูกชักนำให้ตึงเครียด และนำไปสู่การสู้รบกันตามแนวชายแดนในที่สุด จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงกันไปแล้วก็ตาม แต่ล่าสุดก็ยังมีความตึงเครียด โดยมีรายงานว่าทางกัมพูชายังเสริมกำลังเพิ่มเติมเข้ามาตลอดเวลา

พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ประจำวันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม 2568

พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า สถานภาพรวมชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังในพื้นที่มั่นของตนเอง ไม่มีการเคลื่อนไหวที่มีนัยสำคัญ ซึ่งมีรายงานว่าทางฝั่งกัมพูชาได้ดัดแปลงที่มั่นและเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่หลัก ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, ช่องโดนเอาว์, ช่องอานม้า, ช่องตาเฒ่า, เขาสัตตะโสม และภูผี โดยเพิ่มกำลังเข้ามาทดแทนกำลังที่สูญเสียในแต่ละพื้นที่ ทำให้บ่งชี้ได้ว่าฝั้งกัมพูชาได้รับการสูญเสียเป็นจำนวนมาก

พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวถึงการปฏิบัติเชลยศึก อย่างที่ทราบกันว่า ปัจจุบันเราควบคุมตัวเชลยศึก 20 นายและส่งกลับไปแล้ว 2 นาย ที่บาดเจ็บและป่วยทางจิต คงเหลือ 18 นาย ที่อยู่ในควบคุมตัวของฝ่ายไทย และปรากฎ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของกัมพูชา ได้ส่งคำร้องไปยัง สำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยควบคุมตัวทหารกัมพูชาผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ถือเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายไทยขอประณาม เรื่องบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา ทั้งนี้อยากชี้แจงว่าทหารกัมพูชาที่ถูกคุมตัวทั้งหมด ถือว่าเป็นเชลยศึก ซึ่งมีคำจำกัดความว่า เป็นผู้สังกัดในกองทัพภาคีคู่พิพาท ซึ่งไทยและกัมพูชาถือเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาเจนีวา ที่มี ผลบังคับใช้ในประเทศที่มีสงคราม หรือในภาวะขัดกันด้วยอาวุธ ทั้งหมดเป็นเงื่อนไขที่เราปฏิบัติตัวต่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวในฐานะเชลยศึก และไทยได้ปฏิบัติด้วยการเคลื่อนย้ายเชลยศึกออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที พร้อมจัดแพทย์ตรวจร่างกาย จัดหาอาหาร น้ำดื่ม และเสื้อผ้า อย่างเหมาะสมและเพียงพอ ทั้งนี้เมื่อ สภาวะการขัดกันของอาวุธ หรือการรบสิ้นสุดลง นาทีของประเทศที่คุมเชลยศึกก็จะปล่อยตัวกลับประเทศ แต่ปัจจุบันสถานะยังไม่สิ้นสุด เพราะแค่การหยุดยิงยังไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสภาวะการขัดกันของอาวุธ

พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา อ้างว่าวันนี้ (4 ส.ค.) เวลา 11.00 น. ไทยได้ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิด และเครื่องจักรเข้าสู่พื้นที่อันเซ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นเขตอธิปไตยของกัมพูชา และวางลวดหนาม แม้ว่าฝ่ายกัมพูชาจะห้ามไว้ก็ตาม

พล.ท.มาลีอ้างว่ากัมพูชาเพิ่งจัดให้ผู้ช่วยทูตทหารต่างชาติเยือนพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอธิปไตยของกัมพูชา

พลโท มาลีย้ำว่าการกระทำนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง และเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศ รวมถึงภูมิภาคโดยรวม

ขณะที่ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 ได้ตอบโต้ พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์อ้างทหาร ไทยพร้อมอาวุธละเมิดข้อตกลงจุดยิงด้วยการบุก ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานีว่า เรายึดช่องอานม้าได้ ก่อนมีมติหยุดยิง เพราะฉะนั้นเป็นพื้นที่ที่เราต้องควบคุมไว้อยู่แล้ว และเป็นเส้นเขตแดนของประเทศไทย กำลังทหารก็ต้องอยู่บริเวณนั้น

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ทางกัมพูชา ได้ละเมิด MOU43 ด้วยการ สร้างบ้านเรือนและตลาดและรุกล้ำเข้าอธิปไตยไทยช่องอานม้าจำนวน 70-80 หลังคาเรือน พล.ท.บุญสินกล่าวว่า ใช่ กัมพูชาละเมิด MOU43 ด้วยการสร้างอนุสาวรีย์ตาอม สร้างชุมชนและตลาด ซึ่งปัจจุบันนี้ เราห้าม เพราะการดำเนินการดังกล่าว ผิดข้อตกลงมานานแล้ว จะไม่ให้มีคนเข้ามาอยู่ในตลาดและบ้านเรือนบริเวณนั้นอีกแล้ว

ทำให้สรุปได้ว่าเวลานี้บริเวณพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ยังมีความตึงเครียดยังมีการเสริมกำลังทหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ พื้นที่พิพาทอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการปะทะกันอีกรอบก็เป็นไปได้เหมือนกัน ขณะเดียวกันอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศก็ยังโกรธเคือง หรือไม่น้อยมีอารมณ์เกลียดชังต่อกัน และที่ผ่านมามีแรงงานชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศตามคำเรียกร้องของผู้นำกัมพูชาหลายหมื่นคนแล้ว จากเดิมที่มีแรงงานกัมพูชาข้ามมาฝั่งไทยหลายแสนคน

อีกทั้งในช่วงที่เกิดความตึงเครียด ยังมีการปิดด่านข้ามแดน มีการตัดสัญญาณการสื่อสาร ยุติการลงทุน แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อบรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชังยังมีอยู่แบบนี้ มันก็เป็นเรื่องยากที่ต่อไปในอนาคตที่ความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศจะกลับมาเหมือนเดิม

แน่นอนว่าสำหรับประเทศไทยและคนไทย หลังการสู้รบครั้งนี้ เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมองภาพกัมพูชา “ไม่เหมือนเดิม” อีกแล้ว จะเป็นลักษณะ “คบไม่ได้” ภาพประวัติศาสตร์ เรื่อง “พระยาละแวก” ที่พร้อมจะ “หักหลัง” เป็นหอกข้างแคร่” ได้ตลอดเวลา ทำให้ต่อไปน่าจะเป็นไปในลักษณะ “ต่างคนต่างอยู่” อาจจะไม่ใช่ถึงขั้นต้องทำลายล้างผลาญ แต่จะไม่อารีย์กันอีกแล้ว ส่วนตามแนวชายแดนก็จะเข้มงวดในเรื่องอธิปไตยจะไม่อะลุ่มอล่วย ให้อีกต่อไป ประมาณนี้ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น