ด่วน! "พิเชษฐ์" ตกเก้าอี้ ศาล รธน.ฟันพ้น สส. พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เหตุแปรงบ 69 ลงพื้นที่ตัวเองขัด รธน.ม.144
วันนี้(1 ส.ค.)คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ชี้ว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสาม เนื่องจากมีพยานหลักฐานว่า 3 โครงการในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ จ.เชียงรายมาจากการดำริของนายพิเชษฐ์ และกลุ่มงานรองประธานสภาคนที่ 1 เป็นผู้ริเริ่ม โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าว ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 ซึ่งมีรูปแบบต่อเนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 อันเข้าข่ายเป็นการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสองและเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(11) มีโทษตัดสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี
สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ว่า วันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาเรื่องพิจารณาที่ 17/2564 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่
นายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ซึ่งมีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคําร้องเสนอความเห็นต่อ ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทําโครงการและให้มีการ เสนองบประมาณของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 3 โครงการ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และในกรณีที่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคําขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ผู้ถูกร้องยื่นคําชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จํานวน 9 ปาก และเห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้วเห็นว่า กรณีสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ขอถอนโครงการออกจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ศาลรัฐธรรมนูญต้องจําหน่ายคดีเพราะไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีต่อไป หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์มีคําสั่งไม่จําหน่ายคดี เพราะมีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีต่อไป
ประเด็นที่หนึ่งผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ โดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องมีส่วน ในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก จํานวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การให้ความเห็นชอบให้เสนอคําแปรญัตติของ ผู้ถูกร้องเป็นการกระทําของผู้ถูกร้องในฐานะที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง มิใช่ในฐานะเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ประเด็นที่สอง มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้ งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอ การแปร ญัตติ หรือการกระทําดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล หรือไม่ หากผู้ถูกร้องเป็นผู้กระทําการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทําให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคําวินิจฉัย และจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 144 วรรคสาม หรือไม่ เพียงใด ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ ที่มีผล ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้ งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใด ๆ เกี่ยวกับโครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี ในงบประมาณ รายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นอันสิ้นผล และวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 และให้ถือว่าวันที่ ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคําวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง เป็นวันที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการ เลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 และให้ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกําหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัย ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จํานวน 6 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จํานวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การกระทําของผู้ถูกร้องไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลง