วันนี้ (20 ก.ค.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร ศธ. ลงพื้นที่ประชุมตรวจเยี่ยมสถานศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลด้านการศึกษา ณ ห้องประชุมครูลำยอง โรงเรียนสุราษฎร์ธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยลำดับแรกได้ตรวจเยี่ยมบูธแสดงนิทรรศการผลงานเด่นของโรงเรียนสุราษฎร์ธานี โดยมี นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี คณะผู้บริหาร ศธ. ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนนายเกรียงไกร แก้วมีศรี ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู และนักเรียน เข้าร่วมและให้การต้อนรับ
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า จากการรับฟังปัญหา พบว่า มีทั้งเรื่องการจัดสรรอัตรากำลังคน การจัดสรรงบประมาณ ที่ยังไม่เพียงพอ ซึ่ง เรื่องอัตรากำลัง ไม่ได้เบ็ดเสร็จที่ ศธ. เพราะต้องไปขึ้นอยู่กับ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และแผนยุทธศาสตร์รัฐบาลว่าจะเอาอย่างไร เราก็พยายามต่อสู้ เพื่อให้ได้อัตรากำลังเพิ่ม รวมทั้งอัตรากำลังของสายสนับสนุน เพื่อให้ครูใช้เวลาหลักในการดูแลนักเรียน หัวใจครูควรจะอยู่กับนักเรียนและงานวิชาการ ที่จะเพิ่มวิทยฐานะ ความรู้ความเชี่ยวชาญให้ตัวเอง และพัฒนาโรงเรียน ไม่ใช่ไปทำงานสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เพิ่มภาระ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงและจากการรับฟังปัญหา ก็พบว่ามีครูในโรงเรียนต่างๆ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล ทำให้เกิดปัญหาในชีวิต เรื่องนี้ต้องแก้ ไขจัดคนให้ครบ ถ้าเรื่องใดทำได้ในกระทรวง ก็ทำก่อน แต่ถ้าต้องไปขออัตรากำลังเพิ่ม ก็ต้องสู้ ตนในฐานะฝ่ายการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการศธ. ก็ต้องคุยกับนายกรัฐมนตรี คุยกับสำนักงานก.พ. ว่าจำเป็นต้องขยับ จะเพิ่มให้เท่าไร ปีละเล็กน้อยเท่าไรก็ได้ แต่ขอให้ได้เพิ่ม ส่วนภายในกระทรวงที่ทำเตรียมไว้แล้ว วันที่ 31 กรกฎาคม นายธนู ขวัญเดช เลขาธิการก.ค.ศ. จะเกลี่ยครูเกินเกณฑ์ กว่า 600 อัตรา มาจัดสรรเป็นอัตราสายสนับสนุน เริ่มต้นที่โรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยก่อน ลำดับถัดไปจะมีอีกกว่า 2,000 อัตรา ซึ่งก็ต้องมาดูว่าควรจะจัดสรรไปที่ไหน อย่างไรบ้าง ที่จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระครูได้
ส่วนการปรับเกณฑ์การจัดทำวิทยฐานะของข้าราชการครูนั้น ตนจะให้มีการปรับเกณฑ์วิทยฐานะใหม่ เพราะทุกวันนี้การยื่นขอมีและเลื่อนวิทยฐานะของครูจะต้องใช้หลักเกณฑ์กลางในการจัดทำ แต่ตนมองว่า ครูผู้สอนมีอยู่ทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครูประถมศึกษา มัธยมศึกษา ปฐมวัย อีกทั้งก็ยังมีกลุ่มครูสายอาชีวศึกษา ครูเอกชน ครู สกร. ครูการศึกษาพิเศษ ดังนั้น เกณฑจัดทำวิทยฐานะจึงไม่ควรยึดหลักเกณฑ์กลาง แต่ควรแยกหลักเกณฑ์ให้าอดคล้องกับครูแต่ละกลุ่ม ซึ่งต้องเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ควรจะเป็น นอกจากนี้ผู้ที่มาประเมินผลงานของผู้ที่จะได้มีและเลื่อนวิทยฐานะนั้นจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจงานในแต่ละด้านด้วย เพื่อให้เกิดแรงจูงใจสำหรับครูที่ขอมีและเลื่อนวิทยฐานะเป็นตามหลักเกณฑ์ที่ควรจะเป็นมากขึ้น
”ส่วนดิฉันเอง ก็ไม่ต้องเรียกท่าน เป็นหัวหน้าพรรคกล้าธรรม (กธ) คนในพรรคก็เรียก อาจารย์แหม่ม อยู่ที่กระทรวง ก็อยากให้เรียกอะไรก็ได้ที่สบายใจ อาจารย์แหม่มก็ได้ พี่แหม่มก็ได้ ส่วนการทำงานขอให้เป็นในลักษณะครอบครัวเดียวกัน ปรึกษาหารือและบูรณาการการทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งต้องการให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็น สะท้อนปัญหา นำไปสู่การตกผลึกเป็นนโยบายขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาต่อไป” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
จากนั้น ศ.ดร.นฤมล และคณะ เดินทางต่อไปยังโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 64 โดยได้ร่วมเป็นสักขีพยานการรับมอบปัจจัยการผลิต จากกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมอบพันธุ์ไก่ เป็ด ปล่อยปลา กล้าและเมล็ดพันธุ์ผัก รวมทั้งการสำรวจดินและปุ๋ยหมักให้กับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 64 อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในโอกาสนี้ รมว.ศธ. ได้เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นในการปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียน โดยนักเรียนได้เสนอความต้องการเกี่ยวกับการซ่อมแซมหลังคาและห้องน้ำบนหอนอน โดมอเนกประสงค์ ตลอดจนอุปกรณ์กีฬา กังหันน้ำและรถแทรกเตอร์สำหรับจัดการเรียนการสอนเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาในพื้นที่สุราษฎร์ธานีด้านอุปกรณ์การเกษตรและองค์ความรู้