xs
xsm
sm
md
lg

“สุรเดช” เตือนอย่าหงอเจรจาสหรัฐฯ ชี้ ไทยไม่ใช่ทาส อย่ายอมให้แทรกแซงสถาบัน-บีบเลือกข้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



วันนี้ (19 ก.ค.) นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีภาษีสหรัฐฯ ว่า ส่วนตัวคิดว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการกดดันทุกประเทศให้ทำตามข้อตกลงที่ตัวเองต้องการ ซึ่งนอกจากเรื่องที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯแล้ว ตนคิดว่า น่าจะมีเรื่องอื่นด้วย โดยเฉพาะในส่วนของประเทศไทย ตนทราบมาว่าจะมีการคุยเรื่องของความมั่นคงด้วย ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่สมควรเลย และยังมีเรื่องของการแก้กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในเรื่องการแสดงออกของคนไทยเกี่ยวกับมาตรา 112 ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ก้าวล่วงพระราชอำนาจ

“ผมคิดว่าเป็นความต้องการของประธานาธิบดี ทรัมป์ ที่อยากเข้ามาแทรกแซงประเทศไทยมากกว่า โดยเอาเรื่องของภาษีมาบังหน้า แทนที่จะคุยกันเรื่องการค้าอย่างเดียว การนำเข้าหรือส่งออก ถ้าขาดดุลก็ต้องมาคุยกันว่าต้องการให้เราทำอะไร ไม่เกี่ยวกับเรื่องของความมั่นคง และผมคิดว่าทางรัฐบาลไทย จะเอาความมั่นคงไปแลกกับเรื่องภาษีไม่ได้เด็ดขาด เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ และพรรคพลังประชารัฐเอง ก็คัดค้านเพราะถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมโดยเฉพาะเรื่องของ มาตรา 112 ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”

นายสุรเดช กล่าวว่า สิ่งที่ตนแปลกใจมาก ก็คือ ทางประธานาธิบดี ทรัมป์ รู้เรื่องมาตรา 112 ได้อย่างไร หรือมีใครที่เป็นนักการเมือง หรือกลุ่มนักการเมือง ติดต่อไปหรือไม่ ตนไม่อยากให้ทำแบบนี้ ตนไม่ได้กล่าวถึงใคร แต่เราก็มีสิทธิคิดว่าอยู่ดีๆ เขามาคุยเรื่อง มาตรา 112 ทำไม ซึ่งระบบการปกครองของเราแตกต่างกับทางสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิงเพราะสหรัฐฯ มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ แต่เป็นระบบแบบประธานาธิบดีที่ผ่านการเลือกตั้งกันมา ขณะที่ของเรามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งคนละระบบกัน เพราะฉะนั้นเรื่องมาตรา 112 เป็นที่เข้าใจกันในประเทศไทยอยู่แล้วว่าใครจะไปละเมิดหรือจาบจ้วงไม่ได้ ดังนั้น จึงคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีนักการเมืองหรือพรรคการเมือง อาจมีการประสานหรือติดต่อไปทางสหรัฐฯ ตนสันนิษฐานแบบนี้ ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริง และอยากจะส่งสัญญาณไปถึงทูตสหรัฐฯที่อยู่ในประเทศไทย ว่า ควรจะส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาลสหรัฐฯว่าอย่าทำเรื่องนี้ เพราะคนไทยรับไม่ได้ และต่อไปอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งมันไม่คุ้ม เพราะเรามีสัมพันธ์ที่ดีกันมายาวนานกว่า 200 ปี เราร่วมรบกับอเมริกามาโดยตลอด แค่เรื่องขึ้นภาษี 36% เราก็รู้สึกน้อยใจแล้ว ถ้าไปเปรียบเทียบกับเวียดนามซึ่งเป็นคู่อริกันมาตลอด ไปขึ้นภาษีเวียดนาม 20% แต่กับไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ กลับจะมาขึ้นภาษี 36% ซึ่งตนไม่รู้เขาเอาอะไรคิด

นายสุรเดช ยังกล่าวว่า สิ่งที่ตนเป็นห่วงมาก คือ เกษตรกรของไทย ซึ่งเราก็ต้องเจรจาให้เขาลดภาษีในส่วนของเกษตรกรลงได้หรือไม่ แต่ตนคิดว่าทางสหรัฐฯ ก็คงปฏิเสธ เพราะเขาอาจจะอ้างโมเดลของเวียดนาม และอินโดนีเซีย เหมือนเป็นการบีบให้เราไม่มีทางเลือก ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องมาแก้ปัญหาภายในของเรา อย่างเช่นการเยียวยาเกษตรกร จะเยียวยาอย่างไรก็ต้องมาคิดว่าเป็นเกษตรกรจริงหรือไม่ รายย่อยหรือรายใหญ่ ถ้าเป็นรายใหญ่ที่ผูกขาด เราอาจจะไม่จำเป็น และทางกระทรวงพาณิชย์ อาจจะต้องมีนโยบายเชิงรุก โดยอาจสั่งการให้ทูตพาณิชย์ที่อยู่ในประเทศต่างๆ ทำการตลาดเพิ่มเติม ที่ไม่เกี่ยวกับสหรัฐฯ ด้วย หรือใช้วิธีดีลกับประเทศสิงคโปร์ ที่คิดภาษีน้อยมาก แค่ 10% ซึ่งสิงคโปร์ก็พึ่งเราเยอะ ก็น่าจะคุยกับเขาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เราต้องระมัดระวังเรื่องการไปเจรจากับทางสหรัฐฯด้วยหรือไม่ เพราะทางจีนก็คงจะเฝ้าจับตาดูเราอยู่ด้วยเหมือนกัน นายสุรเดช กล่าวว่า ถูกต้อง ดังนั้น เราอาจจะต้องใช้เทคนิคเหมือนกันว่าเราจะต้องคุยกับสหรัฐฯ ว่าอย่าบีบเราให้หลังชนฝา หรือจนตรอก เพราะเราอาจไปจับมือกับจีน ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องการจับมือกับใคร เราอยากมีพันธมิตรกับทุกประเทศ เพราะเราเป็นประเทศที่ต้องการหามิตร ไม่ได้ต้องการหาศัตรู อเมริกาก็เหมือนเพื่อนเก่าแก่ ส่วนจีนก็เหมือนญาติพี่น้อง เพราะฉะนั้นอย่าบีบเราจนเกินไป ถ้ายังไม่ยอมลดภาษีให้เรา ก็จะเป็นการบังคับให้เราหันไปเลือกข้างก็ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ความไว้วางใจของเราในฐานะฝ่ายค้านเกี่ยวกับการดีลโดยเฉพาะข่าวที่ทางสหรัฐฯต้องการมาตั้งฐานทัพเรือในประเทศไทย นายสุรเดชกล่าวว่า เรื่องของฐานทัพเรือ ถึงอย่างไรก็ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะถ้าตั้งฐานทัพเรือเมื่อไหร่ เราจะมีปัญหากับจีนแน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องของความมั่นคง และคิดว่าทางอเมริกาก็ไม่น่าจะมาเสนอตรงนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่ ามองว่า การขับเคลื่อนของรัฐบาลเรื่องนี้ช้าเกินไปหรือไม่ นายสุรเดช กล่าวว่าช้าเกินไปมาก ความจริงหลังจากเวียดนามมีความชัดเจนเรื่องภาษีแล้ว เราต้องดำเนินการเชิงรุกแล้วว่าถ้าอเมริกาเสนอเรามาแบบเวียดนาม เราจะทำอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้ทางอินโดนีเซีย หรือประเทศอื่น ๆ ชิงพื้นที่ไปก่อน จนถูกทิ้งไปอยู่ข้างหลัง ตนคิดว่าทุกอย่างต้องมีทางออก ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้หนี จึงคิดว่าน่าจะแก้ไขได้

นายสุรเดช กล่าวต่อว่า ตนเคยพูดในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐว่าทางสหรัฐฯ กลัวอภิมหาโปรเจกต์คลองไทย หรือคอคอดกระ กลัวว่าเราจะขุดคลอง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้จีนที่เขาอยากให้ขุดคลอง เพื่อทำการค้าเชิงพาณิชย์ เราไม่อนุญาตให้เรือรบผ่านอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ และในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจะมีการลงทุนกันหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ สิงคโปร์ จีน ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ จะมารวมกันตรงนี้ แต่ถึงอย่างไร สหรัฐฯ ก็ไม่อยากให้ขุด เพราะฉะนั้นเราอาจจะเอาเรื่องนี้ขู่ไปบ้างก็ได้ ว่าอย่ากดดันเราให้เลือกข้าง เรื่องนี้เรากลัวไม่ได้ ถ้าเรากลัวเขา เขายิ่งขย่มเราใหญ่ เราจะไม่ไปเป็นลูกน้องใคร เราเป็นได้แค่พาร์ตเนอร์เท่านั้น ถ้าสหรัฐฯ ต้องการให้เราเป็นพาร์ทเนอร์ เรายินดี แต่ถ้าให้เราไปเป็นคนรับใช้ หรือไปเป็นข้าทาส เราไม่เอา
กำลังโหลดความคิดเห็น