เมืองไทย 360 องศา
ก็อาจจะจริงกับคำพูดและความเห็นของใครหลายคนที่ออกมา หลังจากที่ได้ฟัง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจำเลยหลายคดี ทั้งให้สัมภาษณ์ และการแสดงวิสัยทัศน์ในหลากหลายเรื่องเมื่อวันก่อน ออกมาในทำนองว่า ทั้งความคิดและความอ่านของเขานั้น “ตกยุค” ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ยังเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมรับความผิดตัวเอง ดีแต่โทษคนอื่น หรือ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” มาตลอด
จากเสียงวิจารณ์ดังกล่าว ทำให้ต้องกลับมาคิดเปรียบเทียบว่า ทั้งคำพูดและการแสดงวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ในช่วงที่ผ่านมา กับยุคปัจจุบัน ดูแล้วมันต่างกันลิบลับจริงๆ หรือหากให้ใกล้เข้ามาแบบเห็นภาพ ก็ต้องเปรียบเทียบเพียงแค่ไม่กี่เดือน หรือในช่วงต้นปีนี้ ก็ได้ ที่คำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นที่ฮือฮา มีคนติดตามฟัง มีแง่มุมในทางบวก มากกว่าลบ
ในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะทำผิด พยายามใช้อภิสิทธิ์จากกรณีรักษาตัว ที่ “ชั้น 14” โรงพยาบาลตำรวจ หลายคนก็พยายามหรี่ตามองข้ามไป เมื่อเทียบกับคำพูดของเขาที่เน้นให้เห็นว่า “ตั้งใจมาช่วยชาติ” ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่มาช่วยพัฒนาบ้านเมือง ช่วยรัฐบาลอยู่ข้างหลัง สนับสนุน“ลูกสาว” คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ให้หลุดพ้นจากความยากจน หลังจากอยู่ “ภายใต้รัฐประหาร”มานานหลายปี
ความหมาย คือ ตอนนั้นโทษรัฐประหารที่ให้บ้านเมืองล้าหลังติดหล่มไม่ไปไหน แต่เมื่อเป็นยุคของพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ทุกอย่างต้องเดินหน้า แต่มาถึงวันนี้ ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว แม้ว่าพวกเขายังกล่าวโทษรัฐประหาร ทำให้เกิดปัญหาแก้ไขยาก แต่ข้ออ้างเหล่านั้นเริ่มเบาลงเรื่อยๆ เหมือนกับเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ก็จะทำให้ “ข้ออ้าง” เหล่านั้นย่อมเบาลง
อย่างไรก็ดี ทุกวิสัยทัศน์ และทุกคำพูดของ นายทักษิณ ที่แม้ว่าจะฟังดูน่าเคลิบเคลิ้มเพียงใดก็ตาม แต่ทุกอย่างมันย่อมขึ้นอยู่กับความจริงตรงหน้า อย่างเรื่องปัญหา“เศรษฐกิจ ปากท้อง” ของชาวบ้านในเวลานี้ ที่กำลังย่ำแย่ ค่าครองชีพสูง รายได้น้อยไม่พอจ่าย กำลังเป็นที่ประจักษ์ในสายตาชาวบ้านทุกหย่อมหญ้า และที่สำคัญอยู่ภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทย ลูกสาวของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ตัวเองสนับสนุนทุกอย่างเรียกว่า “เสือกทุกเรื่อง” แต่ผลงานที่ออกมา กว่าสองปีที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ผ่านมาสองนายกฯ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ตรงกันข้ามกลับแย่ลงกว่าเดิม
นี่คือสิ่งที่ทำลายเครดิตทั้งพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ อย่างมาก คำพูดที่มักโอ้อวดตลอดมาว่า พวกเขาเป็น “มืออาชีพ” ด้านเศรษฐกิจ หรือคำว่า “คิดใหญ่ทำเป็น” ทุกอย่างเพียงแค่ “โม้คำโต”เท่านั้น
ผลงานที่ล้มเหลวดังกล่าว ทำให้กลายเป็นแรงกดดันที่พุ่งเข้าใส่ทั้ง นายทักษิณ และลูกสาว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อย่างแรง เพราะในเมื่อใช้ประโยชน์ไม่ได้ ชาวบ้านไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้วทำไมถึงต้อง “แบก” ให้หนักต่อไปทำไม
ความล้มเหลวของรัฐบาล ย่อมนำมาซึ่งเครดิตของเขา ที่ต้องสูญเสียไปอย่างป่นปี้ ล่าสุดกรณี “ภาษีทรัมป์” ที่คณะเจรจาฝ่ายไทยในนาม “ทีมไทยแลนด์” ที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กลับมามือเปล่า โดยที่ฝ่ายสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจากไทยถึง ร้อยละ 36 สูงเป็นอันดับสองในกลุ่มประเทศอาเซียน แม้ว่าจะมีเวลาต่อรอง จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วโอกาสที่จะลดลงมามากๆ เช่น ร้อยละ 20 แบบเวียดนาม นั้นคงเป็นเรื่องยากมาก
สำหรับกรณี “ภาษีทรัมป์” นั้นหากย้อนคำพูดของนายทักษิณ ก็เป็นอีกตัวอย่างของ “คำโม้คำโต” ของเขาที่เคยอ้างว่ามีการสนิทสนมกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะสามารถยกหูพูดจากับคนรอบข้างของประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้ไม่น่าเป็นห่วง แต่ผลที่ออกมาเป็นตรงกันข้าม สหรัฐไม่ลดให้สักบาท และเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้ให้ความเห็นเอาไว้แบบคนรู้ทัน
นายจตุพร กล่าวถึงการเจรจาภาษีทรัมป์ว่า มีการอ้างสนิทสนมรู้จักกันประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐ และยังอ้างได้พูดคุยคนรอบข้างไว้แล้ว รวมถึงไทยยังจ้างล็อบบี้ยิสต์นับร้อยล้านบาท เข้ามาช่วยเจรจา แต่ผลออกมาไม่ได้ประโยชน์จากภาษีทรัมป์ เลย ไทยยังถูกเรียกเก็บภาษี 36% คงเดิม ซึ่งมากกว่าเวียดนามถึง 16% และสูงกว่ามาเลเซีย 11% ดังนั้น การหารายได้เพิ่มจากการส่งออกจึงยากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สหรัฐเป็นประเทศรายใหญ่ที่ไทยส่งออกมากถึง 18.3% คิดเป็นมูลค่า 5.5 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ หากเบื้องต้นไทยเสียภาษี ถึง 36% ทำให้เสียหายต่อเนื่องจากการส่งออกสินค้ามากถึง 2-3 แสนล้านบาท
“เมื่อเรื่องนี้ หมดเงินไปกับการจ้างล็อบบี้ยีสต์ ทั้งโม้ และทำไม่สำเร็จ คณะเจรจาทีมไทยแลนด์กลับมามือเปล่า จึงเป็นความผิดพลาดอย่างแรงนับแต่เกิดกรณีอุยกูร์ ที่ถูกนำมากดดันและยกเลิกให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสหรัฐ แล้วตามด้วยถูกแรงกดดันจากสหรัฐ ซ้ำอีกในการเจรจาภาษีทรัมป์ นอกจากนี้ อาจถูกกดจากสหภาพยุโรปในกรณีเจรจา เอฟทีเอ ดังนั้น ถ้าไม่เปลี่ยนรัฐบาล ประชาชนต้องแบกรับภาระเช่นนี้ต่อไป”
นายจตุพร กล่าวว่า การเจรจาใหม่เพื่อลดภาษีก่อนสหรัฐประกาศใช้ภาษีทรัมป์ 1 ส.ค.นี้ เป็นเรื่องที่ลำบากมาก ดังนั้น ทั้งจ้างล็อบบี้ลีสต์ เสียค่าจัดงานซอฟต์เพาเวอร์ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ 55 ล้าน และก่อนหน้านี้งบประมาณซอฟต์เพาเวอร์ 5,000 ล้าน ค่าใช้จ้างเหล่านี้จึงเป็นการสูญเปล่าภายใต้การบริหารของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ดังนั้นหากพิจารณาถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ ให้ความเห็นในเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจร้อนๆ ในช่วง “ขาลง” ของรัฐบาล และความนิยมของลูกสาวตัวเอง คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่กำลังถูกสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่นายกฯ และในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จึงถูกมองว่า เขาพยายามโปรโมตลูกสาวอย่างเต็มที่ เพื่อหวังกู้วิกฤตกลับมาให้ได้มากที่สุด
แต่กลายเป็นว่าทั้งคำพูดและความเห็นต่างๆ ของ นายทักษิณ ชินวัตร ล้วนมีแต่ราคาคุย จับต้องไม่ได้ หรือไม่มีความสำเร็จสักอย่าง มีแต่คำโอ้อวด โทษแต่คนอื่น ไม่เคยมองปัญหาของตัวเองว่าเป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นมา ซึ่งคราวนี้หากสังเกตจะเห็นว่ามีแต่เสียงวิจารณ์ในเชิงลบทั้งสิ้น ทำให้ยิ่งสร้างวิกฤติยิ่งกว่าเดิม!!