รมต.สำนักนายกฯ เตรียมยื่นแก้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง รื้อคุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมือง ปัดเอื้อ “ทักษิณ” กลับเป็น สมาชิกพรรค พร้อมแก้ไขยุบพรรค-ครอบงำ ร่วมถึง เขย่าอำนาจ ป.ป.ช.
วันนี้ (20 ก.ย.) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยถึงการเตรียมยื่นแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ว่า จะยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวต่อสภา และพิจารณาในรัฐสภา โดยจะมีการแก้ไขในหลายเรื่อง เช่น การแก้ไขความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง จากเดิมใช้คุณสมบัติของผู้สมัคร สส. จึงทำให้หลายคนไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคได้ ส่วนตัวคิดว่าสิทธิเสรีภาพในการเป็นสมาชิกพรรค ควรจะเปิดกว้างให้กับทุกคน
ส่วนการแก้ไขนี้เพื่อให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกับใคร หรือหมายถึงใคร ส่วนตัวคืดว่าสิทธิเสรีภาพในการเป็นสมาชิกพรรค ควรจะเปิดกว้าง เป็นสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ไม่ควรมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ต้องพูดว่าหมายถึงใคร ซึ่งเรื่องเหล่านี้เราเคยทำมาแล้วในอดีต เพียงแต่ สว.ในนั้นไม่เห็นด้วย ส่วน สว.ชุดปัจจุบันนี้จะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ว่าในอนาคต
ขณะเดียวกัน จะไปดูการแก้เรื่องยุบพรรค การครอบงำพรรค ว่าจำกัดไว้อย่างไรให้เหมาะสม โดยเรื่องการยุบพรรคเราก็จะเน้นไปที่เรื่องเฉพาะการล้มล้างการปกครอง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ไม่เอาถูกยุบพรรค ส่วนเรื่องการครอบงำก็จะปรับว่าจะทำอย่างไรให้รัดกุมขึ้น ไม่ใช่อะไรๆ ก็ครอบงำหมด
เมื่อถามว่า กังวลข้อหาหรือไม่ว่าการแก้ไขกฎหมายจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตัวเอง นายชูศักดิ์ ระบุว่า ขอย้ำเราทำกฎหมายเพื่อให้ความเป็นธรรมพอสมควร ขอพูดง่ายๆ คนที่ถูกตัดสินให้รอลงอาญา ท้ายที่สุดเป็นสมาชิกพรรคไม่ได้ พร้อมถามกับสื่อว่าเป็นธรรมหรือไม่ ถ้ามาตั้งคำถามว่าแก้เพื่อตัวเองอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็ตั้งคำถามได้หมด
นายชูศักดิ์ ยังกล่าวว่า ขณะเดียวกัน ยังยื่นแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ว่า จะแก้ในบางประเด็น กรณีแรกคือมีความผิดบางประเภทที่ ป.ป.ช.สั่งไม่มีมูล หรืออัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ก็ให้สิทธิผู้เสียหายฟ้องคดีได้เอง เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายซึ่งเคยยื่นมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดมีข้อทักท้วงบางประการก็นำกลับมาแก้ และขณะนี้ก็จะแก้ใหม่ พร้อมทั้งแก้เรื่องอื่นๆ ไปด้วย เช่น เรื่องอำนาจฟ้องเองของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรามองว่ากรณีที่ ป.ป.ช. มีคำสั่งว่ามีมูลหรือฟ้อง แต่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ตั้งกรรมการร่วมกันก็บอกว่าไม่ฟ้อง แต่ท้ายที่สุด ป.ป.ช.ก็ไปฟ้องเอง ซึ่งหากเป็นแบบนี้เราก็มองว่า ป.ป.ช.ทำหน้าที่สอบสวนฟ้องร้องได้เองหมด ทำให้ขัดต่อหลักการคานอำนาจ
ส่วนอีกกรณีบางเรื่องเกิดขึ้นมานานแล้ว ควรมีกำหนดระยะเวลาในการรับเรื่องเพื่อทำให้ชัดเจน ย้ำว่า ควรมีขอบเขตระยะเวลาในการไต่สวนว่าควรเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะมีระยะเวลาแล้วเสร็จเมื่อไหร่ ไม่ใช่สอบไปเรื่อยๆ 10-20 ปี บางทีชี้มูลไปแล้วตอนเกษียณ เช่น อาจจะกำหนดไว้ 5 ปีก็ได้
ทั้งนี้ นายชูศักดิ์ ยืนยันว่า การแก้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองไปด้วย และ ป.ป.ช.คาดว่า สัปดาห์หน้าจะยื่นได้พร้อมๆ กัน