xs
xsm
sm
md
lg

“ยุทธพร” เชื่อ รบ.ถ้าแก้ปัญหาปากท้องได้อยู่ครบเทอม มองคัดออกตัวจริงทำการเมืองไทยแย่ถดถอย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักวิชาการ เชื่ออายุ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” หลัง 1 ปี ถ้าฝ่าปัญหาปากท้อง ปชช.ได้ จะอยู่ครบเทอม ส่วนปัญหาใน พปชร. ระบบ 1 พรรค 2 ระบบ ทำให้ภาพขัดแยังในพรรคชัดเจนยิ่งขึ้น ระบุ การคัดออกตัวจริงทำให้การเมืองไทยแย่และถดถอยยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้ (6 ก.ย.) นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้สัมภาษณ์กรณีกรรมการบริหารพรรคชุดเก่าของพรรคพลังประชารัฐ แจ้งลาออกโดยตรงกับ กกต. จะถือว่าผิดกฎหมายการเมืองหรือไม่ ว่า การตัดสินใจลาออกของกรรมการบริหารพรรคต่างๆ สามารถแจ้งกับนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ แต่เป็นการข้ามขั้นตอน โดยมารยาทจะต้องแจ้งกับพรรคที่ตนเองสังกัด และหลังจากนั้น เมื่อพรรครับทราบ ต้องแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง ก็คือ กกต. เป็นลำดับถัดไป ไม่มีบัญญัติไว้ว่าจะต้องมีขั้นตอนอย่างไร ยืนยันไม่ขัดกฎหมาย แต่เป็นการข้ามลำดับ และเป็นการเซตซีโร่ ระบบใหม่

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้มีการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เป็นการเซตซีโร่ ใช่หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตัดสินใจลาออก ตามข้อบังคับของพรรคพลังประชารัฐ ก็จะเป็นการเซตซีโร่กรรมการบริหารพรรคทั้งหมด เกิดการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เราจะเห็นปรากฏการณ์ 1 พรรค 2 ระบบ ในพรรคพลังประชารัฐ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นฝ่ายค้าน แต่ สส. อีกส่วนหนึ่งสนับสนุนรัฐบาลแบบส่วนบุคคล ในระบบรัฐสภาทำได้ เพราะการเมืองในระบบรัฐสภาต้องสร้างสมดุลสองส่วน คือ ความเป็นตัวแทนของพรรคการเมือง กับความเป็นตัวแทนของประชาชน ต้องมีการให้น้ำหนักทั้งสองด้าน บางเรื่องกำหนดให้เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. ในการลงมติโดยอิสระหรือฟรีโหวต เช่น การเลือกนายกฯ แต่บางเรื่องก็ต้องถูกกำกับโดยมติพรรคการเมือง เป็นประเด็นที่สะท้อนถึงความเป็นตัวแทนพรรค ไม่สามารถเทใจด้านใดด้านหนึ่งได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นในอดีตสมัยพรรคประชากรไทย มี สส. ส่วนหนึ่งสนับสนุนรัฐบาลชวน หลีกภัย แต่หัวหน้าพรรคยุค นายสมัคร สุนทรเวช ไม่พอใจออกมาแสดงความคิดเห็นว่า สส. เหล่านี้เหมือนงูเห่า นี่คือ ที่มาของงูเห่าทางการเมือง “ปรากฏการณ์ 1 พรรค 2 ระบบ ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ครั้งนี้ภาพค่อนข้างชัดเจน เพราะมีความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ”

ต่อข้อถามว่า การสืบทอดทางการเมืองไทยได้กลายเป็นระบอบชินวัตรนั้น นายยุทธพร กล่าวว่า ตรงนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับลักษณะพื้นฐานทางวัฒนธรรมการเมืองในเอเชีย ทั้งพม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมทั้งประเทศไทยด้วย แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ เราพยายามจะใช้กฎหมายให้กลายเป็นการเมือง ซึ่งยิ่งเป็นตัวเร่งในการทำปฏิกิริยาทำให้เรื่องของลักษณะทายาททางการเมือง ตระกูลทางการเมืองต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาทดแทนการเมืองแบบตัวจริง เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยเป็นลักษณะการคัดตัวจริงออก เราอาจมองว่าท้ายที่สุดเป็นการคัดกรองเพื่อให้ได้ตัวจริง ได้นักการเมืองที่มีความสามารถ มีคุณภาพ ปลอดภาวะระบบอุปถัมภ์และตระกูลการเมือง แต่ตนมองตรงข้ามว่าท้ายที่สุดแล้วทำให้การเมืองไทยแย่และถดถอยมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

เมื่อถามต่อว่า จากสภาวะต่างๆ ดังกล่าวนี้ของการเมืองไทย จะส่งผลต่ออายุของรัฐบาลอุ๊งอิ๊งอย่างไร นายยุทธพร กล่าวว่า คิดว่า ระยะเวลาหลังจากนี้อีก 1 ปี จะสำคัญ จะเป็นตัวชี้อนาคตของรัฐบาล ปัจจัยสำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปากท้องของประชาชน จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ซึ่งหากเศรษฐกิจดีขึ้น รัฐบาลชุดนี้ก็จะสามารถไปต่อ อยู่ได้อีก 2-3 ปี ในวาระที่เหลืออยู่ของอายุรัฐบาลนี้ ส่วนตัวชี้วัดถัดไป ก็คือ การขับเคลื่อนนโยบายที่ค้างจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อย่างเช่น ดิจิทัล wallet ซึ่งประชาชนจำนวนมากต่างก็รออยู่ นโยบาย soft power การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษกรรม นำกัญชาออกจากยาเสพติด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่สำคัญ คือ การร้องคดีความต่างๆ การตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีของผู้ที่มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรี 

ทั้งนี้ ควรต้องพิจารณาว่าการร้องต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่ หรือแม้แต่องค์กรที่เกี่ยวข้องว่าควรที่จะต้องรับเรื่องเหล่านี้หรือไม่ เพราะสุดท้ายจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมือง ถ้าหากต้องมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่นต่างๆ ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ใช่นักการเมือง หรือพรรคการเมือง แต่คือประชาชนที่จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ สุดท้ายก็จะวนกลับมากระทบต่อประชาชน แต่เห็นด้วยกับการตรวจสอบกรณีการทุจริต หรือใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ หากเป็นเรื่องไร้สาระก็ควรยุติ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราใช้กฎหมายมาใช้ในลักษณะนี้ จนทำให้ประเทศอยู่ในลักษณะวังวนแบบนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น