ที่ประชุม กสม.มีมติแจ้ง สตช.ในฐานะหน่วยงานบังคับบัญชา ตรวจสอบเพจ “สืบนครบาล IDMB” เผยแพร่คลิปการจับกุมและการสัมภาษณ์ผู้ต้องหา ซึ่งกระทบสิทธิทั้งผู้ต้องหาและผู้ตกเป็นเหยื่อ แนะสั่งการให้ดำเนินการตามระเบียบ
วันนี้ (11 ก.ค.) นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือน ก.ย. 66 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งได้เผยแพร่ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และคลิปเสียงของผู้ต้องหาในคดีอาญา ลงในสื่อสังคมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก เพจ “สืบนครบาล IDMB” จำนวนหลายครั้งในหลายคดี โดยผู้ต้องหาตกอยู่ในภาวะจำยอม
.
ซึ่งการเผยแพร่ดังกล่าวเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงและมูลเหตุในการกระทำความผิดอันเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหา อีกทั้งยังเป็นการนำเสนอข้อมูลของเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือผู้เสียหายในคดีอาญาที่อาจไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายโดยตรงมาเผยแพร่อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ โดย กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงของทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า
.
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ปรากฏว่า เพจเฟซบุ๊ก “สืบนครบาล IDMB” มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยให้แก่ประชาชนและสังคม โดยได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนจับกุมปราบปรามอาชญากรรมหลายคลิปวิดีโอในหลายคดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเตือนภัยอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ การนำเสนอวิธีการป้องกันภัยอาชญากรรม การรับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด และเป็นช่องทางการสื่อสารขอความช่วยเหลือ แจ้งเหตุเดือดร้อนระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังเป็นช่องทางเผยแพร่การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคม ซึ่งเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะและเข้าข่ายการปฏิบัติที่ได้รับการยกเว้นจากการใช้บังคับของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ตามมาตรา 4(2) และ (5) ที่บัญญัติไว้ว่าพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่การดำเนินการของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ การรักษาความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
.
อย่างไรก็ตาม แม้เพจเฟซบุ๊ก “สืบนครบาล IDMB” จะเผยแพร่คลิปวิดีโอการเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด ตลอดจนการพูดคุยระหว่างผู้ถูกร้องกับผู้ต้องหา โดยมีการเบลอภาพเพื่อปกปิดใบหน้าหรืออัตลักษณ์ของผู้ต้องหาแล้ว แต่พบว่า มีบางคลิปวิดีโอที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้สัมภาษณ์ผู้ต้องหาในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ที่แม้ไม่ได้ระบุข้อมูลของเหยื่อหรือผู้เสียหายโดยตรงและผู้ต้องหาให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว แต่การให้ความยินยอมดังกล่าวอาจเนื่องมาจากผู้ต้องหาตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่ได้เกิดจากความสมัครใจอย่างแท้จริง และการเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนของผู้ต้องหา เช่น น้ำเสียง รูปพรรณสัณฐาน ประกอบกับบริบทแวดล้อมและพฤติการณ์ของคดี ก็อาจทำให้บุคคลในพื้นที่ทราบว่าเหยื่อหรือผู้เสียหายคือใคร ดังนั้น การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข่าวของผู้ถูกร้องในกรณีดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 30 การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข่าวฯ และหลักการในการคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวของบุคคล ตามที่รัฐธรรมนูญ และกติกา ICCPR ให้การรับรอง จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อเหยื่อหรือผู้เสียหาย
.
นอกจากนี้ การเผยแพร่คลิปวิดีโอถ่ายทอดเรื่องราวการกระทำความผิดของผู้ต้องหา อาจกระทบต่อหลักการสันนิษฐานบุคคลว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาล ซึ่งเป็นหลักความเป็นธรรมพื้นฐานที่ให้กับจำเลย รวมทั้งยังอาจกระทบต่อสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้ การเผยแพร่คลิปวิดีโอในลักษณะดังกล่าวจึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย
.
การประชุม กสม. เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 67 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะหน่วยงานบังคับบัญชาของผู้ถูกร้องให้ตรวจสอบคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ผู้ต้องหาที่โพสต์บนเพจเฟซบุ๊ก “สืบนครบาล IDMB” แล้วดำเนินการไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะที่ 30 การปฏิบัติเกี่ยวกับการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ การเผยแพร่ภาพต่อสื่อมวลชนและการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2556
.
และกำชับเจ้าหน้าที่ในสังกัดให้ดำเนินการตามระเบียบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด มิให้นำเสนอข้อมูลที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือเปิดเผยอัตลักษณ์ของผู้ต้องหาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงตัวตนของเหยื่อหรือผู้เสียหายในคดีที่มีความอ่อนไหว เช่น คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ อันจะเป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจนเกินสมควรแก่กรณี และไม่สอดคล้องกับหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ อันจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน