“พริษฐ์” มอง “กกต.” ควรประกาศผล “เลือก ส.ว.” โดยเร็ว หวังเดินหน้าแก้ รธน. แถมลดสุญญากาศทางการเมือง ของ ส.ว.ชุดเก่า ย้ำ คนออกแบบกระบวนการ ควรเป็น “ส.ส.ร.” ที่มาจากการเลือกตั้งของ ปชช.
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่า ทุกอย่างเป็นผลลัพธ์กระบวนการเลือก ส.ว.ในรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องสำคัญเฉพาะหน้า คือ ทำอย่างไรให้คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) เร่งตรวจสอบข้อร้องเรียนให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จะได้รับรองผลการเลือก ส.ว.โดยเร็ว เพราะตั้งแต่ก่อนจะเริ่มกระบวนการเลือก ส.ว. ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เคยชี้ให้เห็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ไม่ได้กำหนดไว้ว่า กกต. จะต้องประกาศผลภายในกี่วัน ไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส. กฎหมายเขียนเพียงแค่ว่า ให้รอไว้ 5 วัน ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาแล้ว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ส.ว.ชุดใหม่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ยิ่งมี ส.ว.ชุดใหม่เข้ามาเร็ว การพูดคุยหารือกันเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญก็จะรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงบทบาทในการรับรองบุคคลในองค์กรอิสระ และการกลั่นกรองกฎหมายต่างๆ ซึ่งพรรคก้าวไกลก็มีกฎหมายหลายฉบับ ที่รอการเสนอ แต่อาจจะถูกมองว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ จึงรอให้ ส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ก่อน
ส่วนกรอบเวลาในการประกาศผลควรจะเป็นเมื่อไหร่นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ควรจะเร็วที่สุด เพราะก่อนหน้าที่จะมีกระบวนการเลือก ส.ว. ตนเองก็เคยขอให้ กกต.รับประกันเวลาในการประกาศผล แต่ที่ผ่านมา กกต.ยังไม่เคยยืนยันต่อสาธารณะ ว่า จะมีการประกาศผลเมื่อไหร่ และในวันที่ 4 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ตนในฐานะประธาน กมธ. จะเชิญ กกต. เข้ามาชี้แจงด้วยเช่นกัน
นายพริษฐ์ ย้ำว่า หาก กกต.ประกาศผลเร็ว โอกาสที่จะเกิดสุญญากาศทางการเมือง ให้ ส.ว.ชุดเดิมรักษาการต่อ ก็จะน้อยลง แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า ตนเองเห็นด้วยกับกฎกติกา ส.ว.ก็ยังมีอำนาจสูง แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ในเมื่อกติกากำหนดมาแบบนี้ และได้ริเริ่มกันมาแล้ว จึงคิดว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านระหว่าง ส.ว.ชุดเก่า และ ส.ว.ชุดใหม่ เป็นไปอย่างเร็วที่สุด
ส่วนที่มีการตังข้อสังเกตว่า ส.ว.ชุดใหม่ อาจจะมีการจัดตั้งโดยพรรคการเมือง หรือบ้านใหญ่ นายพริษฐ์ คิดว่า ข้อสังเกตของประชาชนก็เป็นผลลัพธ์ของกติกาครั้งนี้ จึงควรมองไปข้างหน้าดีกว่า เพราะ ส.ว.มีบทบาทสำคัญ
เมื่อถามว่า ส.ว.ชุดไหนจะมีโอกาสเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่า ระหว่าง ส.ว.ชุดเดิมที่รักษาการต่อ กับ ส.ว.ชุดใหม่ นายพริษฐ์ มองว่า สำหรับ ส.ว.ชุดเดิม ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ก็ได้ เพราะดูจากสถิติการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมา ประมาณเกือบ 30 ร่าง ก็ผ่านไปได้แค่ร่างเดียว คือ เรื่องระบบเลือกตั้ง เราจึงได้เห็นผลงานเป็นที่ประจักษ์ ของ ส.ว.ชุดเก่า ในการปกป้องรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 ที่ไม่แก้ไขมาตราใดๆ ส่วน ส.ว.ชุดใหม่ ก็คงได้พิสูจน์กัน หลังเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เพราะปัจจัยหลักในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ การกำหนดองค์ประกอบของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% รวมถึงอาจมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา คู่ขนานไปกับการแก้ไขทั้งฉบับ ก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่า ส.ว.ชุดใหม่ จะมองเรื่องนี้อย่างไร
ส่วนข้อกังวลว่า ส.ว.ชุดใหม่ อาจมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ เช่น วุฒิการศึกษา หรือ อาชีพที่ไม่ตรงกับกลุ่มอาชีพที่รับสมัคร นายพริษฐ์ มองว่า ทุกคนก็ผ่านกติกาที่ถูกออกแบบมาด้วยรัฐรัฐธรรมนูญ 2560 หากไม่พบการกระทำใดๆ ที่ผิดกฎหมาย ก็คิดว่าทุกคนเข้ามาด้วยกระบวนการอย่างเท่าเทียมกัน แต่หากมีการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย กกต.ก็ต้องเร่งตรวจสอบและลงโทษตามกระบวนการ ส่วนที่มีความคิดว่าควรจะปรับการระบวนการได้มาซึ่ง ส.ว.ให้เป็นการเลือกตั้ง หรือถึงขั้นตั้งคำถามว่า ควรมีวุฒิสภาต่อไปหรือไม่ ก็ล้วนเป็นโจทย์ที่คิดว่าสามารถพูดคุยกันได้ แต่สุดท้ายพรรคก้าวไกล ก็เชื่อว่า ผู้ที่จะมาออกแบบกระบวนการ ควรเป็น ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน