กกต.ชงศาลฎีกาชี้ขาดแจกใบดำ-ใบแดง “สมชาย เล่งหลัก” ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา ภูมิใจไทย รู้เห็นเป็นใจให้ลูกน้องเตรียมซื้อเสียง
วันนี้ (1 พ.ค. )เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ นายสมชาย เล่งหลัก ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 9 พรรคภูมิใจไทย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ นายสมชาย เล่งหลัก นายวินัย บัวทอง และ พ.ต.อ.ถวัลย์ นคราวงศ์ ตามมาตรา 73(3) ประกอบมาตรา 158 วรรคหนึ่งของกฎหมายเดียวกัน
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนฟังได้ว่า วันที่ 13 พ.ค. 66 เวลา 10.00 น. ริมถนนสายสนามบินข้างสำนักงานเทศบาลเมืองควนลัง หมู่ที่ 1 ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ได้ร่วมกันจับกุม นายวินัย พร้อมด้วย ของกลางเป็นบัญชีรายชื่อ และหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในพื้นที่ ต.ควนลัง ต.คลองแห ต.ทุ่งตำเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และ ต.ท่าข้าง ต.แม่ทอม ต.บางกล่ำ อ.บางกล่ำ จ.สงขลา จำนวน 16 แผ่น ในกระเป๋าสะพายสีดำที่ผู้ถูกกล่าวหาสะพายคาดอกไว้ และพบเงินสด จำนวน 1 แสนบาท รวมทั้งแผ่นพับหาเสียงเลือกตั้งของนายสมชาย จำนวน 2 ชุด อยู่ภายในรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ ที่รอบตัวรถติดสติกเกอร์ หมายเลข 7 ซึ่งเป็นหมายเลขผู้สมัคร ส.ส.ของนายสมชาย
และจากการไต่สวนพยานที่พบเห็นและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จับกุม ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า นายวินัย รับว่าเป็นตัวแทนหัวคะแนน หาเสียงเลือกตั้งให้แก่นายสมชาย และ ระหว่างที่นายวินัยถูกจับกุมได้มีโทรศัพท์เข้ามาที่นายวินัย โดยปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงพูด ในลักษณะว่าจะได้รับเงินเมื่อใด เนื่องจากมีคนมารออยู่ที่บ้านเพื่อรอรับเงินแล้ว และจากการไต่สวนพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเคลื่อนที่เร็วให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ขณะเข้าไปบริเวณที่ทำการสายตรวจตำบลควนลังพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และนายวินัย ซึ่งพยานได้ข่าวนายวินัยว่า “พี่มาจากไหน มาทำอะไร” ซึ่งนายวินัยตอบว่า “ได้โควตามา 40 หัว” ประกอบกับนายวินัยให้ถ้อยคำว่า กระดาษที่มีรายชื่อบุคคลเป็นเอกสารรายชื่อที่เคยทำ ธุรกิจด้วยกันและจะนำไปเสนอกับผู้ใหญ่เพื่อแลกเงินคะแนนเสียงเลือกตั้ง สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏตาม บัญชีรายชื่อที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 9 จ.สงขลา พยานหลักฐาน จึงฟังได้ว่านายวินัยจัดเตรียมจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน ให้แก่นายสมชาย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(1)
นอกจากนี้ จากการไต่สวนยังได้ความว่า พ.ต.อ.ถวัลย์ อ้างว่า รู้จัก นายวินัย เพียงไม่กี่วัน ซึ่งนายวินัยได้เข้ามาขอความช่วยเหลือด้านการเงิน และตน ได้มอบกุญแจรถยนต์ของตนเองให้นายวินัยขับกลับมาที่ร้านกาแฟดังกล่าว จากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ พบว่า ขณะจับกุมและหลังจับกุม พ.ต.อ.ถวัลย์ มีการติดต่อกับนายวินัยหลายครั้ง แสดงให้เห็นถึงความรู้จัก สนิทสนม และไว้วางใจนายวินัย ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากบันทึกคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ลงวันที่ 27 มิ.ย. 66 พบว่า นายสมชาย เคยให้หมายเลขโทรศัพท์แก่ประธานคณะกรรมการสืบสวน และไต่สวนเมื่อครั้งที่มีการลงพื้นที่ตรวจสอบสาขาพรรคการเมืองประมาณช่วงเดือน ก.พ. 66 ก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อใช้ในการติดต่อประสานงาน และเมื่อตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของนายสมชายจากบัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขาหาดใหญ่ พบว่า มีการเติมเงินเข้าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวโดยใช้บัญชีธนาคารของนายสมชาย หลายครั้ง จึงเชื่อได้ว่า หมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของนายสมชาย อีกหมายเลขหนึ่ง และเมื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้ โทรศัพท์ของ พ.ต.อ.ถวัลย์ พบมีการติดต่อกับหมายเลขโทรศัพท์ของนายสมชาย ระหว่างวันที่ 3 เม.ย.- 30 พ.ค. 66 จำนวนประมาณ 40 ครั้ง และติดต่อกับหมายเลข โทรศัพท์ของนายสมชายตามที่ปรากฏในบันทึกถ้อยคำของนายสมชาย จำนวนประมาณ 25 ครั้ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและหลังเกิดเหตุการณ์ที่มีการจับกุมนายวินัยแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสาม
ส่วนกรณีที่พบเงินสดจำนวน 1 แสนบาท ในรถยนต์ พ.ต.อ.ถวัลย์ ให้ถ้อยคำว่า เป็นเงินที่กู้ยืมมาจากพยานที่ พ.ต.อ.ถวัลย์ กล่าวอ้าง ซึ่งพยานคนดังกล่าวให้ถ้อยคำว่า ให้ พ.ต.อ.ถวัลย์ ผู้เข้ามารับเงินเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 66 เนื่องจากตนต้องเก็บเงินลูกค้ามาก่อน ช่วงค่ำจึงได้ส่งมอบเงินที่รวบรวมมาจากลูกค้าให้ พ.ต.อ.ถวัลย์ เป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จํานวน 100 ฉบับ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายเงินของกลาง มีลักษณะมัดเป็นปึกแน่นและรัดด้วยสายรัดธนาคารไทยพาณิชย์ มิได้มีลักษณะเป็นเงินที่เก็บรวบรวมมาจากลูกค้า ถ้อยคำของ พ.ต.อ.ถวัลย์ และพยานในประเด็นดังกล่าว จึงไม่น่าเชื่อถือ กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายสมชาย ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายวินัย และ พ.ต.อ.ถวัลย์ จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายสมชายไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม