ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“ทีมทนายโจ๊ก” ขู่แฉ “ตายหมู่” ลงเอยแค่ “ละครลิง” ดีไม่ดีจะพ่วงข้อหาหมิ่นศาล! จับโป๊ะแก้ต่าง“เงินบาปทำบุญ”กลับย้ำสัมพันธ์แนบแน่น “หวานเจี๊ยบ—จีจี้” และ จีนเทา สุดท้ายไม่เชื่อ “เจ้าอาวาสวัด” แล้วจะเชื่อใคร!
จากคำโฆษณาเชิญชวนให้รอชมหนังฟอร์มยักษ์ มีบทบู๊ล้างผลาญชนิดที่จะต้อง “ตายหมู่” ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแน่... แต่พอลงโรงฉายจริงทีมทนายของ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กลับทำให้ผู้ชมร้องอ้าว...ไม่ต่างกับดู“ละครลิง”ซะงั้น
ทั้ง ณัฐวิชช์ เนติจารุโรจน์ และ วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความของ โจ๊ก อ้างว่าถูก “ตีกรอบ” มาจากโจ๊กลูกความให้พูดได้จำกัด
ที่ว่าจะเปิดแผลเส้นทางการเงิน “บิ๊กตร.”ที่รับเงินจากเว็บพนันออนไลน์แบบจะๆ ก็ทำได้อย่างมากแค่ “ตั้งข้อสังเกต” และด้อยค่า พนักงานสืบสวนสอบสวน “เลือกปฏิบัติ” และ ขอหมายเรียก “มิชอบ”
พร้อมๆ กับเล่นคำด้อยค่าผู้บังคับบัญชาพนักงานสอบสวนที่อยู่เบื้องหลังการออกหมายจับพวก และหมายเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ลูกความว่าเป็น “อินทรีเลือดเย็น” – “อินทรีเลือกเหยื่อ”
แน่นอนว่า ทีมทนายโจ๊กพูดอ้อมๆ แต่ย่อมอยากจะสื่อถึง “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ที่เจ้าตัวเคยบอก ชื่นชอบนกอินทรี ซึ่งการทำงานในหน้าที่ หากทำได้ดั่งอินทรีที่บินสูง และมีสายตาแหลมคมกว้างไกลน่าจะดีนั่นเอง
พูดไปพูดมาก็จะเห็น “ลิ้นไก่” ว่าในการแนวทางสู้คดีของโจ๊กทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้คดีโจ๊กที่ตกเป็นผู้ต้องหา “ฟอกเงิน และ สบคบกันฟอกเงิน” ไปกองรวมกันที่ป.ป.ช. ถือเชื่อว่า “โจ๊ก” มีแต้มต่อ
โดยสรุปเองว่า เพราะเส้นทางเงินเว็บพนัน “BNK Master” มีความเชื่อมโยงกับคดีเว็บพนัน “มินนี่” แต่ก่อนหน้านี้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผบ.ตร. ก็ย้ำชัดเจนว่า เป็นคนละคดีกัน
เมื่อเวที “แฉ” กลับกลายเป็นเวที “ละครลิง” แก้ต่างแก้ตัวให้กับลูกความ น่าสนใจว่าในบางประเด็นที่ทนายพูดไป จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามกลายเป็นการ “ยืนยันข้อเท็จจริง” ไม่ต่างจากเชือกที่ตวัดรัดคอ “โจ๊ก” เสียเอง
เช่น เส้นทางการเงิน ซึ่งไม่ปฏิเสธ หรือ ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิ่งเข้าหา “คนสนิทโจ๊ก”จริง ส่วนอีกหลายๆ เส้น วิ่งไปถึงตำรวจตั้งหลายคน ทำไมไม่ดำเนินคดีบ้าง
นี่ต้องย้อนถามกลับ เมื่อโจ๊กรู้ข้อมูลดี ทำไมละเว้น !?
ขณะที่คำถามจากสื่อที่ถามว่า ถ้าทนายฟันธงว่า พนักงานสอบสวนไปขอยื่นหมายจับ และหมายเรียก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ไม่ชอบ ทำไมศาลจึงอนุมัติ
ทนายตอบว่า “ศาลพิจารณาจากข้อมูลที่พนักงานสอบสวนนำเสนอ ไม่มีรายละเอียดเหมือนตัวเองมีที่นำมาแถลงวันนี้”
คำตอบนี้หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นศาลหรือไม่ ? ใครได้ฟังปุ๊บ ย่อมต้องมีคำถามแน่!!
แล้วมาถึง “ละครลิง” ฉากโอนเงินบาปทำบุญกฐินหลวง พร้อมขอให้วัดออกใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปใช้ลดหย่อนภาษีของโจ๊ก
ถ้อยแถลงของทนายมาพร้อมนำใบอนุโมทนาบัตรมาโชว์
ไม่รู้จะเรียกเป็น “โชว์โง่” หรือเพราะ “ร้อนรน”จนไม่ได้ตรวจดูรายละเอียด เมื่อเทียบใบอนุโมทนาบัตรสองใบเห็นได้ชัดว่าภาพแบบฟอร์ม ตราประทับวัด ต่างกัน!
ที่ปรึกษากฎหมายของโจ๊กแจกแจงว่า ที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” บริจาคเงินวัดศาลาปูน 2 แสนบาท ถือเงินสดไปทำบุญ และ วัดก็ออกใบอนุโมทนาให้ในวันทำบุญ 29 ต.ค.65 วันเดียวกันเลย ไม่เกี่ยวข้องกับที่ “บัญชีม้า” โอนทำบุญตามที่เป็นข่าว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของ “พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ” ลูกน้องคนสนิท หรือ “พ่อบ้านตำรวจ”ของโจ๊ก โอนไปทำบุญแทน “น.ส.หลุ่ย” โดยรายการโอนเงินเกิดขึ้น วันที่ 9 ก.ย. 65 และวัดศาลาปูน ได้ออกใบอนุโมทนาบัตรวันนั้นเช่นกัน
เรียกว่า ระหว่างโจ๊ก กับ น.ส.หลุ่ย ช่างใจตรงกันอย่างบังเอิญเหลือเกิน ทำบุญวัดเดียวกัน จำนวนเงินทำบุญเท่ากัน ต่างกันตรงคนละช่วงเวลา ที่เอามาโชว์เท่านั้น
ทำไม “พ่อบ้านโจ๊ก” ปกติดูแลค่าใช้จ่ายนายทุกเรื่อง ไม่โอนให้โจ๊ก กลับไปสนิทสนมกับ“น.ส.หลุ่ย” รับโอนเงินมาโอนทำบุญต่อให้ สตอรี่แบบนี้มันทะแม่งๆ
งานนี้ต้องไปดูว่า น.ส.หลุ่ย เป็นใคร?
ใครไปค้นก็ร้องว่าถึงบางอ้อแน่ๆ เพราะ “น.ส.หลุ่ย หรือ หลุ่ย แซ่กั๊ว หรือ จีจี้” คือคนเดียวกันกับ สาวหมวยที่ยกตัวเองเป็น “เจ๊ใหญ่แห่งแวดวงไทย-จีน” แนะนำตัวว่าเป็น “กูรูด้านความสัมพันธ์ไทย-จีนและการตลาด เป็นเจ้าของสื่อจีนชื่อดังหลายฉบับในไทย ที่สำคัญมีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”
“จีจี้” มีบทบาทช่วยงานตำรวจ เช่น อุบัติเหตุเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2018 และ ยังเคยทำงานกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล สมัยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจการท่องเที่ยว ช่วยประสานงานสื่อสารกับค่ายสื่อจีนในหลายคดี
ต่อมา “จีจี้” ก็มีข่าวอื้อฉาวถูกตำรวจบุกรวบตัว ช่วงเดือนมิ.ย.66 จากเหตุที่เธออ้างชื่อพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. เรียกรับเงิน 33 ล้านบาท เป็น “ค่าล้มคดี” เครือข่ายค้ามนุษย์ให้ “แก๊งอาชญากรรมจีนเทา”
ตอนนั้น “โจ๊ก” รับว่าแค่รู้จัก “จีจี้” แต่ ขึงขัง จะจัดการกับเธอในโทษฐานอ้างชื่อไปรีดทรัพย์กับจีนเทา
สตอรี่ที่ทนายยกมาฉายให้สื่อดู ใบอนุโมนาบัตรของ “จีจี้” ที่โอนเงินให้ “พ่อบ้านโจ๊ก” ช่วยโอนไปทำบุญ จึงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง “โจ๊กกับ จีจี้”สนิทสนมแค่ไหน ทำบุญด้วยกันคงไม่ใช่แค่คนรู้จักกระมัง? นะครับนะ
เรื่องนี้ความจริงมีหนึ่งเดียว จะแก้ต่างแก้ตัวอย่างไร สุดท้ายอยู่ที่พระคุณเจ้า “หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดศาลาปูน” ที่ได้ให้ข้อมูลไว้ยืนยัน วัดได้รับเงินทำบุญจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยวิธีการโอนเข้าบัญชีวัด 2 แสนบาท ก่อนวันทอดกฐิน เมื่อ “โจ๊ก”มาเป็นประธานในวันทอดกฐิน 29 ต.ค.65 ธรรมเนียมปฏิบัติของวัด จึงออกและมอบใบอนุโมนทนาบัตรให้เจ้าตัววันนั้น เรื่องก็มีด้วยประการฉะนี้
ส่วนใบอนุโมทนาบัตรของ น.ส.หลุ่ย หรือ จีจี้ ก็คิดเอาเองกันว่า มาจากไหน?
ระหว่าง “ทนายโจ๊ก”กับ “พระคุณเจ้า” ไม่เชื่อเจ้าอาวาส แล้วจะเชื่อใคร?
สุดท้ายทีมโจ๊กน่าจะรู้ตัวผู้ชม บ่นไม่สมราคาขู่ จึงปิดรายการด้วยการปล่อยให้ "พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์" ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจนครบาล 1 ใน 8 ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันมินนี่ จับไมค์มาแฉ
นั่นจึงเป็นคำพูดของผู้ต้องหา กล่าวตามมาถึงเส้นเงินที่เชื่อมโยงไปยังญาติพี่น้องของ นายพล “ต.” ภรรยาชื่อ “ก.” พี่สาว “จ.” และ พี่ชาย “ช.”
ต.ไหน อย่างไร ก็น่าจะเดากันได้ แถมอีกว่า เหตุที่ตัวเองตกเป็นผู้ต้องหา เนื่องมาจากการทำสำนวน "คดีเป้รักผู้การ" ใน จ.ชลบุรี เรียกเงินเว็บพนัน กว่า 100 ล้านบาท โดยการสืบสวนในครั้งนั้น พบว่ามี พ.ต.อ.“ด.” มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำผิดกฎหมาย และยังมีธุรกรรมทางการเงิน ไปยังบุคคลอื่นอีกหลายราย เป็นตำรวจหญิง 2 คน ที่มีความสัมพันธ์กับตำรวจระดับสูง
ตรงนี้ มีคำถามขึ้นมาทันควัน
ว่า “พล.ต.ต.นำเกียรติ” กล้าเดินทางไปร่วมแถลงข่าว “โจ๊ก” รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่ ? ในเมื่อตนเองก็เป็นผู้ต้องหา อีกทั้ง ที่ผ่านมา “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร. ก็ได้มีคำสั่งกำชับ เรื่องการให้ข่าว การแถลงข่าว การให้สัมภาษณ์ ถึง รอง ผบ.ตร. และ จตช., ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ รอง จตช. , ผบช. หรือตำแหน่งเทียบเท่า และ ผบก. หรือตำแหน่งเทียบเท่าไปแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีผลต่อ “พล.ต.ต.นำเกียรติ” มากขึ้นไปอีก ทั้งภาพลักษณ์ ความเชื่อมโยงกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” และ กลุ่มผู้ต้องหา อีกต่างหาก
สรุปได้ว่า “คดีโจ๊ก” ทนายมาเล่นละครลิงให้ชาวบ้านชมซื้อเวลาหาแสง แต่ยิ่งเล่นกลับเป็น “ลิงแก้แห” ม้วนเอาความจริงมาตวัดรัดคออย่างที่ว่ามา
นอกจากนี้ทีมทนายยังแปลงร่างเป็น “พี่ศรี” หรือ “นักร้อง” เพื่อไปทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือร้องเรียนถึง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ก.ตร. และยังจะไปสอบสวนกลาง ไปดีเอสไอ เรียกว่า เดินสายร้องไปทุกที่ ที่เห็นว่าเกี่ยวข้อง
งานนี้เอาที่สบายใจ ตามใจทนายกันไป ค่าจ้างค่าตัวก็รับกันบานตามๆ ไป แต่ถามว่า “โจ๊ก”จะได้อะไรเป็นประโยชน์กับรูปคดีของตัวเองหรือไม่ น่าจะตอบกันได้ไม่ยาก
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น!