คนกทม.แฉ !เครื่องตรวจฝุ่น PM 2.5ส่อเค้าล้มประมูล หลังหมดสัญญาไปนาน แต่ไร้แผนการรองรับ หลายโครงการควรเดินหน้า แต่กลับหยุดนิ่ง เหตุผู้บริหารทิ้งภาระ-ไม่ใส่ใจ จับตาประมูลจัดซื้ออีกหลายพันล้าน ท่ามกลางกลิ่นหึ่ง “ล็อคเสปค เอื้อนายทุน”
รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่า ขณะนี้ข้าราชการกทม.หลายคนต่างหนักใจต่อปัญหาการบริหารงานหลายเรื่องของ ผู้ว่าราชการกทม. ที่ดูจะไม่กระตือรือล้นแบบ“ชายผู้แข็งแกร่งสุดในปฐพี ”ตามที่อวดอ้างไว้ตอนหาเสียง โดยหลายเรื่อง หลายโครงการที่ควรจะรุดหน้ากลับหยุดนิ่ง ไม่ใช่เฉพาะโครงการบริหารพื้นที่คลองโอ่งอ่างเท่านั้น
ยกตัวอย่างการบริหารงานเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 ของ กทม.จาก เพจหลักเฟสบุ็คของกรุงเทพมหานคร https://www.facebook.com/share/p/6u4jJPC5iJVH7JJx/? ที่จะมีการรายงานค่า PM2.5 ประจำวัน แต่เมื่อเข้าไปดูค่ารายพื้นที่ ตาม link ในรายงาน www.airbkk.com ปรากฏว่าสถานีตรวจวัดของ กทม. ทั้ง 70 จุด ไม่มีการรายงานค่า (N/A) เกือบ 30 จุด
ทั้งนี้เมื่อตรวจสอบพบว่าเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ของ กทม.ได้หมดสัญญาไปนานแล้ว ทำให้ไม่สามารถรายงานค่า PM2.5 30 จุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างประกวดราคาใหม่ แต่ก็ส่อเค้าจะมีการยกเลิกประกวดราคา ข้าราชการกทม.ต่างเกิดคำถามว่าทั้งที่หน่วยงานที่รับผิดชอบทราบอยู่แล้วว่าสัญญาจะหมดช่วงไหน ทำไมถึงไม่มีการเตรียมแผนงานล่วงหน้า ขณะที่มีบางส่วนเผยว่า เหตุทึ่ทำงานล่าช้า เพราะผู้บริหารไม่ได้ใส่ใจติดตามอย่างจริงจัง จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารงานของผู้บริหาร กทม. ยุคนี้
แหล่งข่าวระบุว่าเรื่องเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ PM2.5 ถือเป็นแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ เภราะยังมีอีกโครงการยังคั่งค้าง หยุดนิ่ง เกิดความล่าช้ากว่าแผน ท่ามกลางเสียงลือเรื่องการล็อคเสปค เอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ และจะมีความโปร่งใส เป็นธรรม ตามนโยบายผู้บริหารชุดนี้หรือไม่ อย่างไร เช่น โครงการเช่ารถเก็บขยะไฟฟ้า งบประมาณรวมกว่า 4,000 ล้านบาท, งบจัดซื้อถังขยะ งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท,โครงการจ้างเหมาเอกชนควบคุมโรงงานกำจัดสิ่งปฏิกูลและโรงงานกำจัดไขมันฯ งบประมาณรวมกว่า 1,000 ล้านบาท, โครงการจ้างเหมาเอกชนกำจัดขยะ งบประมาณรวมกว่า 990 ล้านบาท, โครงการจ้างเหมาเอกชนเก็บขนและกำจัดขยะติดเชื้อ งบประมาณกว่า 1,067 ล้านบาท
ดังนั้นหากจะมีการร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความโปร่งใส่ ไม่ว่าเป็น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง. ) หรือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช. ) ถึงตอนนั้นก็คงจะมีหลายคนเดือดร้อนกันถ้วนหน้าแน่นอน