xs
xsm
sm
md
lg

คว่ำร่าง กม.คำนำหน้านามฉบับก้าวไกล พท.ค้านห่วงอาชญากรรม ร้องเพลงกะเทยประท้วง ยกเพลงดังต่อไปไม่รู้จัก ช.- ญ.- LGBTQ+

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาคว่ำร่าง กม.คำนำหน้านาม ฉบับของก้าวไกล หวังให้เลือกใช้นาย-นาง-นางสาว ตามใจชอบ พท.ดาหน้าค้านถามแล้วจะเป็นธรรมหรือไม่ ชี้ ความเท่าเทียมสร้างได้ แม้หนุนสมรสเท่าเทียม แต่ห่วงอาชญากรรมตามมา “อนุสรณ์” ร้องเพลง “กะเทยประท้วง” ค้าน ชี้จะใช้คำไหนก็ภูมิใจได้ ยกเพลง “ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ” ต่อไปจะกลายเป็น ไม่รู้จัก ช.ไม่รู้จัก ญ. ไม่รู้จัก LGBTQ+



วันนี้ (21 ก.พ.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ…. ที่เสนอโดย นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะเป็นผู้เสนอ

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระ นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ ส.ส.กาญจบุรี พรรคเพื่อไทย เสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ. ออกไปก่อน เพื่อรอร่างของภาคประชาชนที่มีแนวคิดคล้ายๆ กัน ที่จะเสนอเข้ามาถึง 2 ฉบับ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งที่อยูในกลุ่ม LGBTQ และไม่ได้เป็น LGBTQ เพื่อให้กฎหมายเป็นของทุกกลุ่ม

แต่ นายธัญวัจน์ ยืนยันไม่ถอนร่างออก เนื่องจากเห็นว่า เราสามารถสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมได้อยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศรออยู่ เราก็ควรจะต้องผลักดัน และสภาก็เปิดกว้างอยู่แล้ว และเรื่องนี้มีการผลักดันกันตั้งแต่ปี 2559 แล้ว

ทั้งนี้ นายธัญวัจน์ ชี้แจงเหตุผลว่า โดยที่รัฐธรรมนูญ รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลยอมได้รับความคุ้มครอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรับรองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ จึงส่งผลให้เกิดการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเอกสารของรัฐไทย ยังกำหนดให้ใช้คำนำหน้านามซึ่งถือตามเพศกำเนิด ได้แก่ เด็กชาย เด็กหญิง นาย น.ส.และ นาง ส่งผลให้บุคคลข้ามเพศและผู้หลากหลายทางเพศอื่นประสบปัญหาในการแสดงตัวตน การตัดสินใจกำหนดวิถีทางเทศ และกระทบต่อการดำเนินชีวิต จึงสมควรมีกฎหมายออกมาคุ้มครอง

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า หากเราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้างสังคมใหม่ เราจำเป็นต้องคืนเจตจำนงเรื่องของการระบุเพศให้กับพวกเขา เรื่องเพศเป็นเรื่องสำนึกภายในที่จะบอกตนเองได้ว่าตัวเองเป็นอะไร และอยากจะดำเนินชีวิตอย่างไร ทั้งวิถีและการแสดงออก โดยหลักการสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ Self-determination หรือการกำหนดเพศด้วยตัวเอง นี่คือ จุดเริ่มที่เราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้าง และมีอีกหลายก้าวสำคัญที่ต้องผลักดัน เพื่อให้สังคมได้โอบรับกับความหลากหลาย เพราะเพศมีคำอธิบายมากกว่าเรื่องของร่างกายและกายภาพ

ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ได้นิยามอัตลักษณ์ทางเพศว่า คือ การที่บุคคลหนึ่งรับรู้ต่อตนเองว่าคือใคร และเป็นเพศอะไร ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่สังคมกำหนดหรือไม่ก็ได้ หมายรวมถึงการแสดงออกทางเพศด้วย ทำให้เราจำเป็นต้องออกกฎหมายที่คำนึงถึงเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศไม่ใช่แค่เพศสภาพทางเพศเท่านั้น

จากนั้นสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นโดยมีทั้งฝ่ายสนับสนุน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.จากพรรคก้าวไกล และฝ่ายคัดค้านจากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

นายธีระชัย แสนแก้ว ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆ จะต้องสอดคล้องกับบริบทสังคม หากกฎหมายใดสุดโต่งเกินไปเกินกว่าความต้องการของสังคม กฏหมายนั้นก็จะไม่สร้างประโยชน์ แล้วจะไม่ตอบโจทย์สภาพสังคมได้ และอาจจะสร้างปัญหาตามมา ประเทศไทยเราปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เราก็ได้ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอย่างมากมาย ไม่ว่าจะแต่งกายอย่างไร แสดงออกอย่างไรก็เป็นสิทธิเสรีภาพเท่าเทียม เสมอภาคเท่ากัน และทุกวันนี้การคุ้มครองผู้มีความหลากหลายทางเพศทุกเรื่อง ทุกคน มีความเท่าเทียมกัน ถือเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

ที่ผ่านมา สภาได้มีการพิจารณากฎหมายสมรสเท่าเทียม และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อใช้สิทธิเสรีภาพในการสมรสรับรองความเป็นคู่สมรสของคน 2 เพศและเพศเดียวกัน ตนได้อภิปรายสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะคิดเสมอว่าไม่ว่าใครบนโลกใบนี้ต่างก็มีความรัก ไม่ควรถูกปิดกั้น เพราะเป็นเพียงแค่เกิดมาเป็นเพศใดเพศหนึ่ง

นายธีระชัย ระบุว่า คำนำหน้าชื่อ ไม่ว่าจะเป็นนาย นาง นางสาว ที่เป็นการแบ่งเพศตามสภาพมาตั้งแต่กำเนิด ตนก็มีความห่วงใยและความกังวลในการเปลี่ยนได้ตามความสมัครใจ เพราะในต่างประเทศสามารถให้เปลี่ยนคำนำหน้าได้ มีกฎ มีเงื่อนไขยากง่ายแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เลือกความเป็นตัวเอง หากเขาไม่สะดวกที่ต้องใช้คำนำหน้าหรือไม่ตรงกับเพศสภาพในปัจจุบัน ตนคิดว่าเขาควรมีสิทธิ์เลือกไม่ใส่คำนำหน้านามก็ได้ ใส่เป็นชื่อของเขาเลยก็ได้

นายธีระชัย กล่าวว่า ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้ไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำอุดรธานี กับ นายทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขอเรียนว่า ได้ไปเห็นการแบ่งแยกนักโทษชายหญิง ถ้าสมมติว่า เพศทางเลือกได้กระทำผิดซึ่งเขามีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพ แล้วเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เขาต้องอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังชายหรือหญิงบางคนเพศสภาพอาจจะเป็นชาย แต่จิตใจเขาเป็นผู้หญิง พอเขาเข้าไปในเรือนจำ คนพวกนี้จะมีสภาพจิตใจอย่างไร เพราะนมก็ยังไม่ได้เอาออก ต้องตัดผมสั้นอีก อย่างนี้เราจะให้เขาได้รับสิทธิ์เลือกหรือไม่ หรือสามารถเปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งได้หรือไม่ เพราะจะต้องใช้สถานที่

นายธีระชัย กล่าวว่า ตนเป็นคนคิดมาก แม้สนับสนุนเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด ตนเป็นห่วงว่าแต่ละคนสภาพไม่เหมือนกัน บางคนสามารถเตะก้านคอผู้ชายสลบ อย่างนี้ก็มี แต่เขาสามารถแปลงเพศได้ อรชรอ้อนแอ้น เปลี่ยนแล้วจะมีความเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะการจะสร้างความเป็นธรรม เท่าเทียมเราสามารถสร้างมันได้ด้วยตัวเองมากกว่า เราสามารถผลักดันให้ผู้มีอำนาจใช้กลไกทางกฎหมายสร้างความเป็นธรรมให้ได้เป็นรูปธรรมได้ดียิ่งกว่าการเปลี่ยนนายเป็นนาง หรือเปลี่ยนนางเป็นนาย ตนไม่อยากมองว่าแค่คำนำหน้านาม เป็นกรอบกำหนดในชีวิต เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นนาย นาง นางสาว หรือมนุษย์ เสมอภาคกันทุกคนท่าน ก็คือคนเหมือนกัน ขอให้ละเอียดรอบคอบกว่านี้

“ทุกคนในบ้านในเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน พี่น้องภาคประชาชน ตนนั่งอ่านตั้งแต่เช้า ตนเชื่อว่า ถ้าคนเรารักกันจริง คำนำหน้านามนั้นไม่จำเป็น เป็นกำแพงปิดกั้นความรัก ถ้าเราเอานาย นาง นางสาวเป็นอุปสรรค เพื่อปิดกั้นความรัก ผมมองว่ามันไม่ใช่ความรัก สุดท้ายขอถามว่าสังคมควรเปลี่ยนเพื่อเรา เพราะเราควรเปลี่ยนเพื่อสังคมกันแน่ แล้วอะไรก็จะดีกว่ากัน เหมาะสมในบริบทของสังคมทุกวันนี้ ผมไม่ได้คัดค้าน หรือไม่ได้เห็นด้วย แต่กลัวว่าจะมีปัญหาเท่านั้น”

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายร่างพระราชบัญญัติการรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ. ....ว่า รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่สภาเปิดพื้นที่ให้กับการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพมนุษยชน และรู้สึกเท่ที่สภาไทยพูดถึงเทรนของโลก ลบกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีหลายเรื่องที่ให้ความเป็นธรรม เช่น นิติสินสมรส และเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่นๆ แต่พอมาดูเรื่องของคำเปลี่ยนคำนำหน้านาม เราต้องรับฟังให้รอบ อย่าเหาะเกินลงกา ไปไกลชนิดที่ว่าสุดลิ่มทิ่มประตู และจะทำให้สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ และการที่เราจะภาคภูมิใจหรือไม่ภาคภูมิใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้คำนำหน้าว่าอะไร

“คงไม่ใช่ว่าปกติเป็นคนหม่นหมองตรอมเศร้า ผลไม้ที่ชอบคือระกำ ปลูกดอกไม้ก็ปลูกดอกลั่นทม ฉันจะปลูกหญ้าก็ปลูกหญ้าตรอมใจ เป็นคนประเภท ระทม ระกำตรอมใจ แต่พอเปลี่ยนคำนำหน้านามแล้วจะลุกมาแฮปปี้ชนิดที่ว่าเปลี่ยนปุ๊บแฮปปี้ปั๊บ คงไม่ใช่เช่นนั้น แต่ความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง หรือจะเป็น LGBTQ+ เราสามารถภาคภูมิใจได้

นายอนุสรณ์ ยังได้ร้องเพลง “กะเทยประท้วง” ของ ปอยฝ้าย มาลัยพร กลางสภา พร้อมกับระบุว่า เป็นกะเทยก็ภาคภูมิใจได้แล้ววันนี้คำว่ากะเทย คำที่บ่งบอกถึงเพศสภาพที่ 3, 4, 5 ไม่ใช่สิ่งที่จะไปบูลลี่กันไม่ใช่คำที่ฟังแล้วถูกประณามหยามหมิ่น สังคมเราเป็นประเทศที่เปิดรับและเปิดกว้างกับคำหลากหลายทางเพศกับ คำว่าหลากหลายทางเพศ ดังนั้น สิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกต คือ เราจะเป็นชายจริงหญิงแท้ LGBTQ+ เราควรจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เรามีงานเทศกาลที่เรียกว่างาน Pride ที่แปลว่าความภาคภูมิใจ ก็ไหนว่าเราภาคภูมิใจ ในความเป็น LGBTQ+ แล้วเราจะไปเปลี่ยนความเป็น LGBTQ+ ไปเป็นนาย เป็นนางสาว ก็เท่ากับว่าอย่างนั้นเราไม่ได้ ภูมิใจกับเพศสภาพ กับสถานะที่เราเป็นหรือไม่ วันนี้ไม่ได้มีใครคุยกันเรื่องการไม่ได้รับการยอมรับ แต่วันนี้เราจะไปไกลกว่าสมรสเท่าเทียม ไปเปลี่ยนคำนำหน้านามหรือไม่ ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์หากทุกคนเปลี่ยนคำนำหน้านาม จะมีคนไปติดต่อส่วนราชการและใช้งบประมาณเท่าไหร่ สร้างความสับสนอลหม่านแค่ไหน

“ผมเชื่อมั่นว่า เราจะใช้คำนำหน้าว่าอย่างไร เราก็ภาคภูมิใจได้ก่อนที่เราจะเรียกร้องให้คนอื่นเคารพเรา เราควรเคารพผู้อื่นก่อน ก่อนที่เราจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับตนเอง เราหันไปมองรอบด้านเสียก่อนว่า สิทธิ์ที่เราเรียกร้องนั้นได้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นหรือไม่ และต้องระมัดระวังผลกระทบ ที่จะตามมาอย่างที่ ดา เอ็นโดรฟิน ได้ร้องเพลงไว้ว่า “ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ” ซึ่งหากเปลี่ยนคำนำหน้านาม จะไม่ได้หยุดแค่ที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ แต่จะกลายเป็นไม่รู้จักชายไม่รู้จักหญิง ไม่รู้จัก LGBTQ+” นายอนุสรณ์ กล่าว
ด้าน ส.ส.ก้าวไกล หลายคนได้อภิปรายสนับสนุน อาทิ นายปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอพูดจากก้นบึ้งของหัวใจจากผู้หญิงข้ามเพศ อายุ 51 ปี ตนเจ็บปวดกับคำนำหน้านามว่า นาย มาตลอดชีวิต นี่เป็นความฝันสูงสุดของตนสิ่งหนึ่งกับการที่จะได้เปลี่ยนคำนำหน้าให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนในปัจุบัน ตนฝันสิ่งนี้มานาน ความฝันของตนคือ การได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตนได้บรรลุความฝันเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ไปหลายสิบปีแล้ว แต่ความฝันที่สองที่สูงสุดคือออกจากความจากความเจ็บปวดที่ตนถูกเรียกว่า นาย ทุกครั้ง และใครที่ไม่ได้เป็นบุคคลข้ามเพศไม่มีทางเข้าใจสิ่งนี้ ดังนั้นขอให้สภาฯมาร่วมกันถกเถียงปรับแก้ในจุดที่มีปัญหา และขอวิงวอนจากหัวใจของหญิงข้ามเพศที่รอสิ่งนี้มานานตลอดชีวิต

น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งตนเกิดมาด้วยเพศหญิง วันนี้ขอพูดเลยว่าตนใช้ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายมาตลอดตั้งแต่เด็กมีความรู้สึกชอบและรักเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นปกติ จนกระทั่งวันนี้อายุ 46 ปีแล้ว ตนภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นผู้ชายแต่อย่างใด แต่เวลาที่เราไปติดต่อราชการ หรือเวลาแนะนำตัวเอง จะต้องมีการหันกลับมามองทุกครั้งและมีความไม่แน่ใจว่า ตกลงเราผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เมื่ออ่านในใบสมัครข้าราชการหรือเอกสารราชการคำนำหน้าขึ้นด้วยนางสาว ซึ่งจะมีเสียงซุบซิบนินทาตามหลังมาเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากหมายแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางครั้งตอนที่เรายังไม่ได้คุยกับใครทุกคนก็ไม่ได้มองถึงขอบกพร่องตรงนี้ แต่เมื่อเริ่มคุยและลงท้ายด้วยค่ะ สิ่งที่ตามมาคืออคติของคนที่คุยกับเรา และมักจะมีคำนินทาตามหลังเสมอว่า ไอ้ทอม อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจ ผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นเป็นหัวอนุรักษ์โบราณก็ไม่อยากคุยกับไอ้ทอม ซึ่งงานที่ไปติดต่อก็เป็นประโยชน์แต่โดนเหยียดทางอัตลักษณ์ทางเพศ

หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมลงมติเห็นด้วย 152 เสียง ไม่เห็นด้วย 256 เสียง งดออกเสียงไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าที่ประชุมไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น