เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีนายกรัฐมนตรี จะได้รับการ “พักโทษ” กลับไปพำนักที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” มาตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่ล่าสุด เขา ก็ยังมีอีกคดีสำคัญที่ต้องเผชิญ นั่นคือคดีความผิดตาม มาตรา 112 จากกรณีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติที่เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558 โดยเมื่อเช้าวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นายทักษิณได้ไปพบกับพนักงานอัยการเจ้าของคดี ซึ่งโดยสรุปความก็คือ พนักงานอัยการสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม ตามที่นายทักษิณ ได้ร้องขอความเป็นธรรม และให้นัดฟังคำสั่งคดี ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 10 เมษายน
ขณะเดียวกันที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ในการเข้าพบพนักงานอัยการครั้งนี้ มีรายงานว่านายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการประกันตัวด้วยวงเงิน 5 แสนบาท
โดย นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เปิดเผยถึงบรรยากาศขณะที่รับตัวนายทักษิณว่า หลังจากที่ตำรวจนำตัวมาส่ง ตนเองต้องมีการพูดคุยกับนายทักษิณ ซึ่งจากสภาพที่ตนเห็น มองว่านายทักษิณมีอาการป่วยขั้นวิกฤต เพราะต้องนั่งรถวีลแชร์มา เพราะเดินไม่ไหว และจากการที่ได้พูดคุย นายทักษิณไม่มีเสียงพูด ดูท่าทางมีการป่วยหนักและมีการสวมที่ดามคอมา
ถามว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวนายทักษิณ ได้เดินทางมาด้วยหรือไม่ นายปรีชา กล่าวว่า นายทักษิณเดินทางมากับคนสนิท ลูกสาวไม่ได้เดินทางมาด้วย
เมื่อถามว่า นายประกัน คือน.ส.แพทองธาร หรือไม่ นายปรีชา ตอบว่า ไม่ใช่ และไม่รู้ว่านายประกันคือใคร ตนดูเพียงคุณสมบัติของนายประกันว่าเข้าข่ายเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าคือใคร โดยขั้นตอนการเซ็น รายงานตัวและเข้าพบอัยการใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนที่นายทักษิณจะกลับ
ส่วนวันที่ 10 เมษายน จะมีคำสั่งทางคดีหรือไม่ นายปรีชา กล่าวว่า ในวันดังกล่าว เป็นการนัดฟังผลคำสั่งทางคดีว่าจะมีคำสั่งว่าอย่างไร ถ้าผลสอบเพิ่มกลับมา ทางอัยการสูงสุดจะพิจารณาว่า จะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง หรือถ้าผลสอบเพิ่มยังไม่เเล้วเสร็จ ทางอัยการสำนักงานคดีอาญาก็อาจจะต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไป ซึ่งจะต้องแจ้งให้ตัวนายทักษิณทราบในวันนั้น
สำหรับเรื่องการสอบสวนเพิ่มเติม คือจะมีอัยการจากสำนักงานการสอบสวนไปร่วมสอบด้วย ซึ่งเป็นการสอบสวนเพิ่มเติมตามคำสั่งอัยการสูงสุด ที่มีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามา หากผลสอบสวนเพิ่มมา ก็จะต้องส่งอัยการสูงสุดพิจารณา ทางอัยการสำนักงานคดีอาญาไม่ต้องเเนบความเห็นส่งไป คำสั่งอัยการสูงสุดถือเป็นเด็ดขาด
ขณะที่ นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนวนเดิมที่มีคำสั่งเห็นควรสั่งฟ้องเป็นคำสั่งแรกตั้งแต่นายทักษิณยังไม่กลับเข้าประเทศไทย แต่เมื่อนายทักษิณกลับเข้าประเทศไทย และมีการแจ้งข้อกล่าวหากันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2567 รวมถึงมีการส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรม ทำให้ทางคณะพนักงานสอบสวนได้มีการสอบสวนสำนวนใหม่ จึงทำให้วันที่ 10 เมษายนนี้ ตัวนายทักษิณจะต้องมารับฟังคำสั่งด้วยตนเอง ว่าทางอัยการจะเห็นสมควรสั่งฟ้องทางคดีหรือไม่ โดยคำสั่งจะแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง 1.สั่งฟ้อง 2.ไม่สั่งฟ้อง 3.เลื่อนนัดฟังคำสั่ง ถ้าหากสำนวนที่สอบเพิ่มเติมนั้นยังไม่ครบถ้วน แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร จะต้องแจ้งให้ตัวนายทักษิณทราบ
ฟังจากการแถลงของพนักงานอัยการดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็พอสรุปความได้ว่า หนึ่งทางพนักงานอัยการมีความเชื่อว่า นายทักษิณ ชินวัตร มีอาการป่วยเข้าขั้นวิกฤตจริง ไม่ว่าจะเป็นจากท่าทาง เดินไม่ไหวต้องนั่งรถวีลแชร์ จากการสอบปากคำ นายทักษิณ ไม่มีเสียง พร้อมบอกเล่าให้เห็นถึงลักษณะ เช่น ต้องดามคอ และมีสายคล้องแขน เป็นต้น
โดยในประเด็นนี้ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ระบุว่า นายทักษิณ มีอาการ “กระดูกหัก”
“กระดูกหักนี่ ผมเห็นหักจริงนะ ไปทำล้อเล่น ไปทำเป็นสร้างภาพไม่ได้ และโดยตัวท่าน ท่านก็มีโรคอยู่ ผมเชื่อว่าป่วยจริง” นายสุทิน กล่าวยืนยัน
เอาเป็นว่าแล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลก็แล้วกัน เพราะเหตุผลและความเชื่อมันย่อมต่างกัน รวมไปถึงแบ็กกราวด์ ก็แตกต่างกัน แต่หลายคนที่เชื่อว่า “เล่นละคร” นอกเหนือจากพิจารณาจากความเชื่อที่ว่ามีการ “สมคบคิด” กันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่รัฐบาลลงมา อีกทั้งยังพิจารณาจากระยะเวลาที่อ้างว่าป่วยตั้งแต่วันแรกคือ 22 สิงหาคม ปีที่แล้ว มาจนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ตามวิธีการนับวันของกรมราชทัณฑ์ก็ครบกำหนดการพักโทษ 6 เดือนทันที และได้กลับบ้าน สรุปแล้วนอนป่วยอาการวิกฤตแบบมาราธอน จนทำลายสถิติของโรงพยาบาลตำรวจ และน่าจะเป็นสถิติโลกก็ได้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปก็คือ ตามรูปการณ์แบบต่อเนื่องแล้วน่าจะพอเชื่อได้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร น่าจะพ้นคดี มาตรา 112 สูงมาก โดยเชื่อว่าในวันที่ 10 เมษายน ที่ทางอัยการสูงสุดนัดฟังคำสั่งคดีดังกล่าว ที่แม้ว่าทางโฆษกของสำนักงานอัยการสูงสุด จะระบุว่ามีโอกาสเป็นไปได้ 3 ทาง นั่นคือ สั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้อง และเลื่อนฟังคำสั่ง แต่หากพิจารณาจากความเป็นไปได้มากที่สุด ก็น่าจะเป็นทางแรก คือ “สั่งไม่ฟ้อง” ซึ่งทุกอย่างก็จบทันที นายทักษิณก็จะอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้อย่างสบายใจ จนครบกำหนดการพักโทษ
อีกทั้งการยืนยันของฝ่ายอัยการที่ทำหน้าที่สอบปากคำ นายทักษิณ ออกมาแล้วว่า เขามีอาการป่วยหนักจริง เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น พร้อมทั้งไม่มีเสียงพูด เป็นลักษณะของคนป่วยเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งอาจจะลดกระแสสังคมลงไปได้บ้างหรือไม่ มันก็ชวนติดตาม หรือจะเพิ่มความคุกรุ่นมากขึ้นไปอีกก็เป็นไปได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านับจากนี้ไปการจับตาเรื่องอาการ “ป่วยทิพย์” ของนายทักษิณ ชินวัตร น่าจะค่อยๆ ลดความสนใจลงไปเรื่อยๆ แต่น่าจะมีการจับตาในประเด็นใหม่เข้ามาแทน นั่นคือ บทบาทในฐานะ“ศูนย์กลางอำนาจ” ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แทนทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าภาพดังกล่าวจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นแน่นอน เพียงแต่ว่าอาจต้องรออีกระยะหนึ่งเพื่อ “ความสมจริง” เพราะตอนนี้ยัง “ป่วยอาการโคม่า” อยู่ อะไรประมาณนั้น !!