“ชัยธวัช” ปลุกสมาชิกร่วมเดินหน้าสร้างพรรคก้าวไกล ช่วยกันดึงสติสังคมไทย ทำงานทางความคิดเพื่อเปลี่ยนใจคนเห็นต่างให้มากที่สุด ย้ำ ก้าวไกลไม่ใช่ภัยคุกคามสังคมไทย แต่คือสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต
วันนี้ (18 ก.พ.) พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรมสมาชิกสัมพันธ์ ร่วมพบปะสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคในเขตบางแคและใกล้เคียง โดยมีแกนนำ และ ส.ส.พรรคก้าวไกลหลายคนร่วมกิจกรรม ทั้ง นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล, นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ เป็นต้น
.
ในการนี้ นายชัยธวัช ได้กล่าวกับสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ถึงสถานการณ์ที่พรรคก้าวไกลกำลังเผชิญ และการเดินต่อไปข้างหน้าของพรรคก้าวไกลในอนาคต โดยระบุว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคก้าวไกลกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายสองประการ ประการแรก คือ สภาวะ “นิติสงคราม และตุลาการภิวัฒน์” ที่พรรคก้าวไกลต้องตั้งหลักในการต่อสู้คดีเพื่อปกป้องพรรคและผู้แทนราษฎรของพรรค โดยยืนยันว่า การดำเนินคดีถึงขั้นยุบพรรค หรือตัดสิทธิผู้แทนราษฎรทั้ง 44 คน เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล ไม่ถูกต้อง และไม่ได้สัดส่วน
.
ประการที่สอง คือ สถานการณ์ที่มีความพยายามสร้างภาพให้พรรคก้าวไกลเป็น “ปีศาจตนใหม่” ของสังคมไทย เป็นภัยคุกคามต่อสังคมไทยที่หลายคนหวงแหน ซึ่งยิ่งปรากฏชัดเมื่อมีกรณีขบวนเสด็จ และมีความพยายามปั่นเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อชี้เป้ามาที่พรรคก้าวไกล ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า สมาชิกพรรคอาจมีความกังวลใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ สำหรับตนแล้ว สิ่งที่เราทำได้ คือ ต้องช่วยกัน “ดึงสติ” สังคม ตั้งหลักให้ดีว่าในช่วงสถานการณ์ที่อ่อนไหวเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่ควรสร้างเงื่อนไขด้วยการผลักให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสุดขั้วไปมากกว่านี้ เราต้องช่วยกันดึงสติให้ทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ที่ถูกต้อง เข้าใจวิธีการคลี่คลายปัญหาทางการเมือง ตามวิถีทางที่ทำให้ต่างฝ่ายที่มีความเห็นต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันได้
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรค ผู้สนับสนุนพรรค หรือผู้ลงคะแนนให้พรรคหลายคน เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็พร้อมที่จะปะทะคารม แต่หลายเรื่องก็น่าเป็นห่วงว่าจะเป็นส่วนในการเติมน้ำมันเข้ากองไฟโดยไม่รู้ตัว จึงต้องย้ำว่า พรรคก้าวไกลมีเป้าหมายในการทำงานการเมืองเพื่อเอาชนะทางความคิด ด้วยความเชื่อว่าสังคมการเมืองเปลี่ยนได้ ความคิดของสังคมก็มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น เมื่อพบกับความเห็นที่แตกต่างจากเรา การพยายามทำความเข้าใจกับพวกเขาให้เข้มข้นมากขึ้น ย่อมดีกว่าผลักให้เขามีช่องว่างกับเรา การทำให้พวกเขาพร้อมเปิดใจรับฟังเรามีความสำคัญอย่างยิ่ง การทำงานทางความคิดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ต้องทำให้คนที่ไม่เข้าใจหรือคิดไม่เหมือนเราเข้าใจเรามากขึ้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปใช้วิธีการผลักคนออกไป
นอกจากการทำงานทางความคิดโดยใช้สติแล้ว นายชัยธวัช ระบุว่า ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน ทั้งต่อประชาชนที่สนับสนุนและคาดหวังต่อพรรคก้าวไกลอยู่แล้ว และประชาชนที่ยังไม่เข้าใจเรา เราต้องพิสูจน์ด้วยการทำงานที่เป็นจริง ทำให้เห็นว่าเราเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนตั้งความหวังไว้ได้ ทั้งในสถานการณ์เฉพาะหน้าและระยะยาว รวมถึงการสร้างพรรคให้เข้มแข็งจากฐานราก ทำให้เป็นพรรคการเมืองที่ทำงานตอบสนองสังคมได้มากขึ้น พร้อมมีความเข้มแข็งสำหรับทุกสถานการณ์
“เราต้องใช้การเมืองแห่งความรักเพื่อการเปลี่ยนแปลง เข้าใจได้ว่าพวกเราต่างมีความคับแค้นใจ แต่เราต้องเชื่อจริง ๆ ว่าต้องใช้การทำงานการเมืองด้วยความรักและความปรารถนาดีพิสูจน์ให้คนเชื่อ ไม่ใช่การเมืองแห่งการทำลายล้าง การตอบโต้อาจได้ความสะใจ แต่ก็ยิ่งตกไปในเกมการเมืองแห่งการสร้างความเกลียดชังที่ดำเนินมากว่า 20 ปีแล้ว ลดช่องว่าง เปลี่ยนใจคน ให้คนรับฟัง” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวต่อไปว่า เราพูดบ่อยเรื่องการทำงานทางความคิด พาสังคมไทยออกจากการเมืองแบ่งขั้วเหลืองแดง ก็เพราะที่ผ่านมาประชาชนถูกแบ่งให้มาปะทะขัดแย้งกัน ซึ่งไม่ได้นำพาสังคมไทยไปข้างหน้า และมีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากเกมการเมืองแบบนี้ เวลามีคนมาบอกว่าพรรคก้าวไกลเป็นสลิ่มเฟสสอง ตนไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร เพราะการทำให้คนที่เคยเป็นสลิ่มหรือเสื้อเหลืองเปลี่ยนใจมายอมรับในระบอบประชาธิปไตยได้ ตนถือว่าเป็นความสำเร็จ ต้องเข้าใจว่าที่คนจำนวนหนึ่งเคยยอมรับการรัฐประหาร หรือการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เคยมีมาแบบเดิมไม่สามารถทำให้คนจำนวนมากเชื่อมั่นในการเมืองแบบการเลือกตั้งได้ เราก็ต้องแก้ปัญหาจุดนี้ให้เขากลับมาศรัทธา ว่าเราสามารถปฏิรูปด้วยการเมืองในระบบเลือกตั้งได้
ท่ามกลางคลื่นลมแรงทางการเมือง ตนเข้าใจดีว่า หลายคนอดไม่ได้ที่บางช่วงเวลาจะรู้สึกท้อใจ หรือหวั่นไหวกับสถานการณ์ข้างหน้า แต่ไม่มีเหตุผลใดที่เราควรหวั่นไหวเลย หากย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้งครั้งแรกของพรรคอนาคตใหม่ปี 2562 มีใครเคยจินตนาการหรือไม่ว่าจะเกิดการเมืองใหม่แบบวันนี้ ไม่เคยมีใครมองว่าการเมืองแบบอนาคตใหม่จะประสบความสำเร็จเลย แต่ผลการเลือกตั้งออกมาก็หักปากกาเซียนทุกคน มาจนถึงปี 2566 ทุกคนก็ยังไม่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้ สส. มากกว่า 40 คน แต่ผลการเลือกตั้งออกมากลายเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แม้วันนี้พรรคก้าวไกลจะยังไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ แต่การเลือกตั้งปี 2566 ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทยไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นายชัยธวัช ย้ำว่า สิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นั่นคือ จากเดิมที่ไม่มีใครเชื่อว่าการเมืองแบบอนาคตใหม่-ก้าวไกล จะเป็นไปได้ในการเมืองไทย แต่ทุกวันนี้ความคิดนี้ได้พังทลายไปหมดสิ้นแล้ว การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่มีคำถามแล้วว่าก้าวไกลจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่ มีแต่คำถามว่าก้าวไกลจะได้ 200-250 ที่นั่งหรือไม่ นี่คือต้นทุนทางการเมืองที่พวกเราไม่เคยมีมาก่อน แต่จะมีในการเลือกตั้งหลังจากนี้เป็นต้นไป
ดังนั้น พวกเรามาไกลขนาดไหนแล้วในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี เรามาไกลเกินกว่าจะแพ้ และมาไกลเกินกว่าจะหวั่นไหวแล้ว ตรงกันข้าม คนที่ต้องหวั่นไหวคือผู้มีอำนาจที่อยากแช่แข็งสังคมไทยเอาไว้ หวาดกลัวกับการเปลี่ยนแปลงที่มาเร็วมาก จนพรรคก้าวไกลถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการเมืองของอดีต และพยายามใช้นิติสงครามหรือการปั่นว่าก้าวไกลเป็นปีศาจที่จะมาทำลายสังคมไทย เพื่อปกป้องพื้นที่การเมืองแบบเก่าที่หดแคบลงเรื่อยๆ เอาไว้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำวินิจฉัยศาลหรือนิติสงครามต่าง ๆ ล้วนเป็นภาพสะท้อนความหวั่นไหวของพวกเขา คนที่หวั่นไหวจึงไม่ใช่เรา
นายชัยธวัช กล่าวทิ้งท้ายว่า จากนี้ขอเพียงพวกเราทั้งหมดจับมือมัดกันให้แน่น เชื่อมั่นในความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง ทำพรรคของพวกเราให้เข้มแข็ง พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ทำงานทางความคิดให้คนคิดเหมือนเรามากขึ้นเรื่อยๆ ลดช่องว่างทางความคิด ทำให้พวกเขาพร้อมเปิดใจรับฟัง พิสูจน์ตัวเองและความปรารถนาดีของพวกเราต่อบ้านเมือง ด้วยการทำงานให้เห็น ไม่ใช่ผลักคนที่คิดไม่เหมือนเราไปเป็นศัตรู จนทำให้พวกเขาคิดต่างจากพวกเราไปเรื่อยๆ ตั้งสติให้มั่น เข้าใจสถานการณ์ มองคนที่ไม่เข้าใจเรา และหาวิธีสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงและเข้าใจพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ
“เปลี่ยนความคิดของคนที่ยังไม่เข้าใจพวกเรา ให้เข้าใจการเมืองแบบก้าวไกล ว่า พวกเราไม่ใช่ภัยคุกคามของสังคมไทย ไม่ใช่ภัยคุกคามต่ออดีตที่หลายคนหวงแหนห่วงใย แต่การเมืองแบบก้าวไกล คือ เราจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคตของสังคมไทยให้ได้ เราเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะเชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต เพราะเรารู้จักอดีต เข้าใจปัจจุบัน และมองเห็นอนาคต การเมืองแบบก้าวไกลจะทำให้เกิดการสมานระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ เพื่อพาสังคมไทยไปเผชิญหน้ากับอนาคตที่ผันผวน”