“เรืองไกร” ร้อง กกต.ส่งศาล รธน.วินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครอง ฟันธงตายหมู่ ไม่รอดแน่ ด้าน “แบม-ตะวัน” โผล่ทำกิจกรรมประชด แค่กระดาษ-สติกเกอร์ ก็ล้มล้างการปกครองได้
วันนี้ (1 ก.พ.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครองจากการเสนอแก้ไขและมีนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นายเรืองไกร กล่าวว่า ที่มาวันนี้ เนื่องจากเมื่อวาน (31 ม.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยระบุชัดเจนว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ใช้สิทธิเพื่อล้มล้างการปกครองตามมาตรา 49 และสั่งให้เลิกการกระทำ ซึ่งตนเข้าใจว่า ห้ามยกเลิกมาตรา 112 และการจะตรากฎหมายใหม่แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิก สามารถทำได้ แต่ต้องชอบด้วยตน จึงนำผลคำวินิจฉัยมายื่นต่อ กกต. เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92(1) (2) อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยในคดีดังกล่าว จะผูกพันถึง กกต. ที่ต้องทำตามหน้าที่ เพราะถือเป็นความปรากฏ ส่วนองค์กรที่ 2 คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้ถูกร้องเป็น ส.ส. 44 คน ว่าใช้สิทธิและเสรีภาพ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนได้เคยยื่นเรื่องไปแล้วเมื่อปี 2564
“นี่เป็นการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ไม่ได้มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ หรือนำความเห็นส่วนตัวมาร้องแต่อย่างใด”
เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลต่อพรรคการเมืองอื่นๆ ที่เคยใช้การแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียงเลือกตั้งหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเก็บรวบรวมข้อมูลอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีน้ำหนักพอก็จะยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ รวมถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน และน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร ที่เคยหาเสียงในประเด็นแก้ไขมาตรา 112
เมื่อถามอีกว่า มั่นใจว่า พรรคก้าวไกลจะถูกยุบใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่น่าจะรอด เพราะศาลวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งก็จะส่งผลให้คณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะเดียวกัน ขณะที่ นายเรืองไกร กำลังให้สัมภาษณ์อยู่นั้น น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ (ตะวัน) กลุ่มทะลุวัง และ นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ (แบม) ปรากฏตัวโดยมีเชือกพันธนาการที่ข้อมือ และลำคอ ของทั้งสองคน เดินทางเข้ามาในพื้นที่ พร้อมทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยกล่าวว่า ต้องการมาตามหาศาลไคฟง เพื่อให้มาประหารพวกตนทั้งสองคน เพราะเมื่อวาน มีศาลกล่าวอ้างถึงชื่อของพวกตน รวมถึงกิจกรรมก่อนหน้านี้ที่ตนได้ดำเนินการ ที่ได้จัดนำแผ่นป้าย ข้อความ “คิดว่ามาตรา 112 ควรแก้ไขหรือยกเลิก” พร้อมนำสติกเกอร์มาให้ติด เพื่อแสดงความเห็น และซึ่งรวมถึงการให้นายพิธา นำสติกเกอร์ไปแปะด้วย ว่า ถือเป็นความผิดร้ายแรง ล้มล้างการปกครอง จึงรู้สึกถึงบาปกรรม ที่พวกตนได้ทำไว้ในประเทศชาติ จึงสำนึกบาปวันนี้จึงต้องการให้ท่านเปาบุ้นจิ้น ทำการประหารตนแทนคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรมการเมืองแล้วถูกจับติดคุก และปล่อยพวกเขาออกมา เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไม่ร้ายแรงเท่ากระดาษหรือสิ่งที่เราทำ
“เราหญิงสาวทั้งสองคนได้กระทำการล้มล้างการปกครองด้วยโพลล์อันนี้ กระดาษแผ่นนี้และสติ๊กเกอร์นี้ กระดาษและสติกเกอร์ที่ราคาไม่กี่บาท ที่ถูกมองว่าทำให้ประเทศนี้ล่มจม พวกเรารู้สึกผิดไปแล้วที่ทำให้ประเทศนี้ถูกล้มล้างการปกครองได้โปรดประหารเราแทนเพื่อนทั้งหลายด้วยเถิดเพราะเราทำผิดกว่าพวกเขามาก”
นอกจากนี้ ยังพบว่า มีกลุ่ม ศปปส. ที่จะเดินทางมา ติดตามการยื่นคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่จะเดินทางมายื่นให้ กกต.พิจารณายุบพรรคก้าวไกลเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพื่อป้องกันความวุ่นวายทางศูนย์ราชการ ได้ให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในและนอกเครื่องแบบมาคอยดูแลความปลอดภัย