“ส.ว.สถิตย์” ชี้ รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบฯ 67 เห็นขยันแต่ไม่ดูแล งบฯ นโยบายสำคัญก็ไม่มี ไม่นำไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว-พ้นกับดักรายได้ ตามเป้าหมายปี 80 แนะ รื้อโครงสร้างงบขนานใหญ่ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
วันนี้ (8 ม.ค.) นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณปี 2567 ของรัฐบาล ว่า รัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ เพราะมีเวลาในการมาดูแลงบจำกัด ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลมากนัก เพราะในหลักการเวลาที่ผ่านมา 100 กว่าวัน จะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลขยันทำงานมาก แต่ไม่ได้ให้เวลาเพียงพอในการดูแลงบประมาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการบริหารประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อมองในภาพรวม นอกจากที่ไม่ได้นำนโยบายสำคัญมาบรรจุในงบประมาณแล้ว ยังไม่ได้มองในระยะปานกลางหรือยาว ที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เพราะเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคือต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือหลายคนใช้คำว่าพ้น จากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง
“ณ เวลานั้นประเทศไทย จะต้องเติบโตพัฒนาอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี ถึงจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ในปี 2580 แต่จากการคาดการณ์งบประมาณปานกลางของรัฐบาล ปรากฏว่า ยังไม่ถึงร้อยละ 5 ต่อปี แม้ในรายจ่ายงบประมาณจะมีการกำหนดไว้ว่าจะทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีกประมาณร้อยละ 3.4 ต่อปี ไปจนถึงปี 2570 ก็ตาม แต่ไม่ได้แสดงนัยอะไรที่ให้เห็นว่าการทำงบประมาณเหล่านั้นจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จะสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้โตได้ถึงร้อยละ 5 เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปสู่ยุทธศาสตร์ของการทำให้ประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะงบการลงทุนมีเพียงร้อยละ 20.6 เท่านั้น และงบประมาณส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนหนทางเป็นหลัก แต่เรื่องอื่นๆ ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาประเทศก็สำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ควรสร้างความสมดุลของโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ประเทศพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้าด้วยระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพิ่มเติมจากระบบปัจจุบัน” นายสถิตย์ กล่าว
นายสถิตย์ ยังกล่าวต่อว่า อีกงบที่น่าสังเกต คือ งบการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ที่ควรให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อยมากกว่าให้งบประมาณกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้ว และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้ดีอยู่แล้วหาทางจัดเก็บรายได้ของตนเองให้มากขึ้น หากโครงสร้างของงบประมาณยังเป็นอย่างนี้ การปกครองส่วนท้องถิ่นก็ไม่เต็มศักยภาพ การกระจายไปสู่ท้องถิ่นที่ยากจนก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น โครงสร้างจึงต้องรื้อกันขนานใหญ่ เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ