กลุ่มเครือข่ายประชาชน ยื่นกว่า 4 หมื่นรายชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ต่อประธานรัฐสภา ปรับปรุงเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน สร้างหลักประกันด้านรายได้
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่รัฐสภา เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (wefair) เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค เครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ และประชาชนทั่วไป ร่วมกันยื่น 43,826 รายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายมุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงยื่นให้กับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ประธานกรรมาธิการการสวัสดิการสังคมที่อาคารรัฐสภา
หัวใจสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการปรับปรุงเบี้ยยังชีพให้เป็นบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับผู้สูงอายุที่มั่นคงและยั่งยืนด้วยการจัดเก็บและบริหารระบบภาษีของประเทศมาใช้จัดสวัสดิการให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair กล่าวว่าปัจจุบันผู้สูงอายุไม่มีความมั่นคงในเรื่องรายได้ ทำให้ต้องเสนอกฎหมายผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ โดยมีหลักการสำคัญคือยกระดับเบี้ยสงเคราะห์เป็นระบบบำนาญประชาชน เป็นระบบถ้วนหน้า ทุกคนที่อายุ 60 ปี ก็จะได้รับสิ่งนี้ทั้งหมด เป็นสวัสดิการแบบเสมอกัน
"เราใช้อัตราที่ไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน ตอนนี้อัตราเส้นความยากจนในปัจจุบันต่อคนต่อเดือน กับผู้ที่มีรายได้ต่ำว่า 2,997 บาท ถือว่าเป็นคนจน เราก็ใช้เกณฑ์ตรงนี้เพื่อให้พ้นจากเส้นความยากจน"
นายนิติรัตน์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากเป็นกฎหมายการเงินก็จะเข้าสู่การพิจารณาของนายกรัฐมนตรี เราเชื่อว่านายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย จะตอบสนองต่อเรื่องนี้ เพราะว่าสถานการณ์ของสังคมสูงวัยเป็นเรื่องที่เราจะต้องสร้างหลักประกันรายได้ให้กับคนสูงอายุ ซึ่งมีมากกว่า 12 ล้านคนในปัจจุบัน ซึ่งระบบบำนาญประชาชนจะสะท้อนความเท่าเทียมกันของคนที่จะเข้าถึงในส่วนนี้
ขณะที่เบี้ยยังชีพในปัจจุบันต่ำมาก 600-1,000 บาท เปรียบเทียบแล้วประมาณวันละ 20 บาท ซึ่งไม่เพียงพอ เราก็ใช้อัตรานี้ ในขณะที่งบประมาณที่ใช้จ่ายในปัจจุบันสำหรับผู้สูงอายุ 11 ล้านคน จะใช้ประมาณ 9 หมื่นล้าน เฉลี่ยแล้วประมาณ 600 กว่าบาทเท่านั้นต่อคนต่อเดือน ขณะที่งบประมาณสวัสดิการของข้าราชการบำนาญ ปัจจุบันเฉลี่ยแล้วต่อคนสูงถึง 30,000 บาทต่อคน ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีประมาณ 3 แสนกว่าล้าน ซึ่งเท่ากับ 10% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ของทุก ๆ ปี ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องการที่จะเห็นระบบบำนาญของประชาชนที่ทำให้เป็นสิทธิเสมอกันถ้วนหน้า
นายสมวงศ์ อุไรวัฒนา ประชาชนจาก จ.ราชบุรีที่เดินทางมาร่วมยื่นรายชื่อในครั้งนี้ กล่าวว่า ที่ตัดสินใจมาร่วมยื่น พ.ร.บ.ผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติฯ เพราะเห็นว่าที่ผ่านมารัฐมักเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องคมนาคม ไฟฟ้า ถนนหนทางเป็นหลัก แต่มุมมองเราคือการสร้างรัฐสวัสดิการก็เป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งของประเทศที่มีความจำเป็นและสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการมายื่นกฎหมายในรอบนี้เพื่อแสดงให้รัฐเห็นว่าโครงสร้างรัฐพื้นฐานหมายรวมถึงชีวิตของคนในประเทศด้วย จึงอยากเปลี่ยนมุมมองประชาชน เปลี่ยนมุมมองสังคมว่าการมีรัฐสวัสดิการ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทุกคน
"ถ้ารัฐสร้างถนนจะได้ใช้กับคนที่มีรถเท่านั้น แต่การมีรัฐสวัสดิการเป็นการสร้างหลักประกันให้กับประชาชนทุกคนบนผืนแผ่นดินนี้"นายสมวงศ์ กล่าว
นายนิมิตร์ เทียนอุดม รองประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สำหรับการยื่นกฎหมายในครั้งนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว หลังจากถูกปัดตกครั้งแรกสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปัดตกครั้งที่ 2 ในรัฐบาลสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ภาคประชาชนคาดหวังให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ โดยเร็ว เพื่อสร้างเกียรติ สร้างศักดิ์ศรีให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี