ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ใครช่วยจะพากันซวยมั้ยหนอ..”พี่ศรี”ร้องแล้ว“โทนี่-นักโทษโคตรVVIP”นอนหรู-อยู่สบายรพ.ตำรวจ ส่วนกรมคุกป่วนลี้ภัยกันวุ่น
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแว่บเดียว “เฮียโทนี่” หรือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีหลังจากหลบหนีคดีใช้ชีวิตในต่างแดนนานกว่า 17 ปีตัดสินใจกลับมารับโทษ แต่ตั้งแต่เท้าสัมผัสพื้นจนถึงวันนี้จวนจะถึง 120 วันในวันที่ 22 ธ.ค.66 นี้ “ทักษิณ” ยังไม่ได้นอนเรือนจำแม้สักวันเดียว
อย่างที่รู้กัน “ทักษิณ” อ้างว่าโรครุมเร้า สุขภาพย่ำแย่ต้องเข้ารับการรักษาติดตามอาการ ท่ามกลางข้อสงสัย “ป่วยทิพย์” เพียงเพื่อจะได้ “อภิสิทธิ์” เหนือผู้ต้องหารายอื่นๆ เป็น “นักโทษโคตร VVIP” ที่เกิดเป็นประเด็นให้ถกเถียงตลอดร้อยกว่าวันที่ผ่านมา
และแล้ว... “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน นักร้องเบอร์ต้นๆ ก็เข้ายื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อฟ้องอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ และละเลยต่อหน้าที่ กรณีร่วมกันเอื้อประโยชน์ให้ “ทักษิณ” ได้สิทธิ์พิเศษไปนอนในห้องหรู โรงพยาบาลตำรวจ โดยเพิกเฉยต่อการบังคับใช้กฎกระทรวง และระเบียบต่างๆของกรมราชทัณฑ์
รวมทั้งการออกระเบียบให้ผู้ต้องขังออกไปคุมขังที่บ้านได้ ทั้งๆที่กฎกระทรวงไม่เคยกำหนดให้สามารถออกไปคุมขังที่บ้านได้ ถือเป็นการใช้อำนาจเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด
“พี่ศรี” ระบุ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ต่างใช้อำนาจต่างกรรมต่างวาระในการช่วยเหลือ “เฮียโทนี่” โดยใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบหรือกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือโดยไม่สุจริต หรือมีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ร่วมกันอนุญาตให้ “ทักษิณ” ไปนอนรักษาตัวนอกเรือนจำในโรงพยาบาลตำรวจอย่างผิดกฎหมายมานานจนจะครบ 120 วันแล้ว
ทั้งๆที่ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 55 กำหนดไว้ชัดเจนว่า กรณีที่ กรมราชทัณฑ์ จะอนุญาตให้ผู้ต้องขังที่ป่วยไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้นั้นจะต้องมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อเท่านั้น แต่ทักษิณ ตามคำแถลงของกรมราชทัณฑ์และแพทย์ต่างๆ มิได้เข้าเงื่อนไขดังกล่าวแต่อย่างใด การอนุญาตให้ “นักโทษชายโคตร VVIP” รายนี้ออกไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลตำรวจ จึงเป็นข้อพิรุธที่สังคมจับได้ ซึ่งต้องไปพิสูจน์กันในชั้นศาลเท่านั้นจึงจะเป็นที่ยุติ
เท่านั้นยังไม่พอ การออกระเบียบอนุญาตให้ผู้ต้องขังไปคุมขังนอกเรือนจำได้อีก โดยประกาศใช้เมื่อ 7 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำความพยายามในการเอื้อให้ทักษิณไม่ต้องนอนคุกสักวันเดียว โดยอ้างเหตุนักโทษล้นคุก ทั้งๆที่นักโทษส่วนใหญ่ 99% เป็นนักโทษที่เกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ได้อานิสงค์จากระเบียบดังกล่าวอยู่แล้ว
แต่คนที่โกงชาติ โกงแผ่นดินกลับเข้าเงื่อนไขที่จะให้ไปคุมขังที่บ้านได้ อันเป็นการทำให้คำพิพากษาของศาล ไม่มีความหมายต่อการลงโทษนักโทษให้หลาบจำได้เลย
ขณะที่เรื่องนี้ในสภาฯ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว. ตั้งคำถามไปถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ต่อการออกระเบียบของกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการคุมขังนอกเรือนจำ ว่า เป็นการออกระเบียบเพื่อช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่ เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อน และส่อเอื้อกับนักโทษ ที่ได้รับฉายาว่า นักโทษเทวดา พักที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่
เนื่องจากขณะนี้จะครบกำหนดการพักรักษาตัวนอกเรือนจำ 120 วัน ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ชนที่แม้จะได้รับการลดโทษ แต่ไม่ถูกติดคุก อีกทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีคำชี้แจงว่าป่วยหนักอย่างไรถึงได้นอนนอกเรือนจำ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือเป็นความเสื่อมของกระบวนการยุติธรรมและขัดต่อหลักนิติธรรมที่ต้องปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเสมอภาค
งานนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ และ ที่โทนี่ กำลังป่วยรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจใกล้จะครบกำหนด 120 วัน ซึ่งจะต้องมีการรายงานมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ทำเรื่องขอขยายระยะเวลารักษาตัวออกไป ต่ออีกหรือไม่
โดยรมว.ยุติธรรม บอกสั้นๆแค่ ว่า "เดี๋ยวเรื่องนี้ อธิบดีกรมราชทัณฑ์น่าจะเป็นผู้แถลงข่าว" ก่อนเดินขึ้นห้องประชุม ครม. ทันที
แว่วว่า “คนในกรมคุก” ตอนนี้ก็ร้อนระอุ เหงื่อแตกพลั่ก เพราะรับเผือกร้อนถูกบีบจะให้เป็น "แพะ" ของนักการเมือง ระวังป้องกันตัวเองสุดฤทธิ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีทักษิณ หรือ เซ็นอะไร หรือ เห็นชอบให้ “เฮียโทนี่” ได้สิทธิ์ นอนนอกคุก ตัวเองมีหวังจะเข้าไปนอนในคุกแทนทักษิณ คุ้มกันที่ไหน จึงลี้ภัยกันพรึ่บพั่บ วุ่นไปหมด
เรียกว่า เรื่องนี้ทางเอาตัวรอดต้องโยนกลองกันให้นัว ถ้ากงล้อของกระบวนการยุติธรรมเริ่มหมุนหลังจาก “พี่ศรี” ร้องต่อศาลแล้ว ใครที่ช่วย “โทนี่-นักโทษโคตร VVIP”จะพากันซวยมั้ยหนอ..โปรดรอชมกันต่อไป.
**ภาครัฐมึนตึ๊บ “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” กลายเป็น “No man's land” จนไม่มีเจ้าภาพเข้าไปจัดการ “มาดามแจ๋น” สารภาพยังเอาผิดไม่ได้ ทั้งที่ควรตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนจะกลายเป็น “ลัทธิต้มตุ๋น” ทำคนเสียหายเดือดร้อนอีก
ดูเหมือน “ภาครัฐ” ก็ยังตกอยู่ภวังค์ ขยับไม่ถนัดถนี่นัก กรณี “อาจารย์น้องไนซ์ เชื่อมจิต” หรือ ด.ช.นิรมิต เทวาจุติ วัย 8 ขวบ ผู้อ้างตนเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราช
โดยมีการอ้างว่า “น้องไนซ์” มีความสามารถในการ “เชื่อมจิต” และยัง “หยั่งรู้” เรื่องราวต่างๆ ในโลก ทั้งอดีตและอนาคต รวมถึงเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ที่บอกเล่าจากปากพ่อแม่ ทำให้มีผู้ติดตามทั้งผ่านช่องทางโซเชียลฯ และที่ไปฟังการถ่ายทอดคำสอนหลายพันคน
กลายเป็นอภินิหารที่ถูกชาวโซเชี่ยลขุดคุ้ยว่า “เหนือจริง” และถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเข้าข่ายขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงหรือไม่ เพราะมีการเก็บเงินค่าคอร์สสมาธิเชื่อมจิต หรือเป็นขบวนการหากินกับเด็กหรือไม่
ขณะเดียวกันสังคมก็ดูเหมือนจะพิพากษาไปแล้วว่า กรณี “น้องไนซ์” นั้นมี “กลิ่นตุๆ” โดยเฉพาะประเด็นคำสอนที่ไม่ตรงกับหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา
เรื่องนี้ "แพรรี่ ไพรวัลย์" หรือ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร อดีตพระนักเทศน์เปรียญธรรม 9 ประโยค ฉายา "พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ" ที่ออกมาอธิบายหลักธรรมโต้คำพูดของ “น้องไนซ์” พร้อมยืนยันว่าไม่มีการเชื่อมจิต พร้อมตำหนิพ่อแม่ที่ไม่ยอมเซฟลูก จนกลายมาเป็นดรามา
อย่างไรก็ดีประเด็น “น้องไนซ์” กลับกลายเป็น “No man's land” ดินแดนที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ จนเหมือนไม่มี “เจ้าภาพ” จากภาครัฐที่จะเข้าตรวจสอบได้
เพราะตั้งแต่เป็นดรามาขึ้นมาแต่ละหน่วยงานก็ได้ด้อมๆมองๆ แวะเวียนเข้าไปตรวจสอบ ก่อนที่ต่างจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ยังเอาผิดไม่ได้” พร้อมเตือนว่า ให้ศรัทธากันอย่างมีสติ
ตั้งแต่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่มีทั้งกลุ่มผู้ศรัทธา และกลุ่มผู้ไม่ศรัทธา ไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพื่อให้ทำการตรวจสอบ
ซึ่งทางตำรวจก็ทำได้เพียงให้ตำรวจพื้นที่ลงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมตรวจสอบทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการโพสต์โฆษณาเชิญชวน เข้าข่ายความผิดหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯด้วย
เช่นเดียวกับ “พี่ท็อป” นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ระบุว่า ในมิติของ พม. หน้าที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดูแลสิทธิเด็กและสวัสดิภาพที่เด็กควรจะได้รับ ซึ่งได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปพูดคุยกับครอบครัวและครูอาจารย์ที่โรงเรียน ทำให้ทราบว่า “น้องไนซ์” มีผลการเรียนที่ดี ไม่มีสัญญาณของความเครียดหรือแรงกดดันอะไร มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนตามวัย ไม่ได้มีการพูดถึงกิจกรรมดังกล่าวในโรงเรียน ก็เหมือนเด็กทั่วไปคนหนึ่ง
ส่วนประเด็นการหาประโยชน์จากเด็กนั้น ต้องรอการสอบสวนจากตำรวจให้ได้ข้อสรุปเสียก่อน พม.ไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวน
ขณะที่ “มาดามแจ๋น” นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล สำนักพระพุทธศาสนา (พศ.) ก็ออกมาแอคชันเช่นกันว่า ได้สั่งการให้ พศ. และพระสงฆ์ เข้าไปดูแลและพูดคุยกับน้องไนซ์ เพราะสิ่งที่น้องพูดไม่ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนา
“ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่การกระทำผิดกฎหมาย จึงไม่สามารถสั่งระงับยับยั้งกิจกรรมต่างๆได้ และการที่คนเอาเงินไปให้ ก็เป็นการไปทำบุญกับเขาเอง” รมต.พวงเพ็ชร ออกตัวไว้เช่นนั้น
เมื่อภาครัฐยังไม่สามารถระงับยับยั้งได้ก็น่าสนใจว่ากรณี “น้องไนซ์ เชื่อมจิต” จะบานปลายไปถึงขั้นไหน
เพราะขณะนี้บ้างก็ว่า โมเดลไม่ต่างจาก “ลัทธิธรรมกาย“ ของ “ธัมมชโย” ในแง่การบิดเบือนอวดอ้างหลักธรรม หรือใกล้เคียงกับ “คอร์สเข็มทิศ” ในแง่การขายคอร์ส ที่มีเรื่องฉาวโฉ่มาก่อน
อย่างไรก็ดี ก็มีเสียงติเตือนไปถึง รัฐบาล เช่นกันว่า ในฐานะฝ่ายบริหาร มีกฎหมายเต็มไม้เต็มมือ น่าจะมีเครื่องมือที่เข้าไปจัดการตัดไฟแต่ต้นลม กับขบวนการหากินกับความเชื่อ-ความศรัทธา
ก่อนจะกลายเป็น “ลัทธิต้มตุ๋น” สร้างความเสียหายในวงกว้างมากกว่านี้.