“ไพฑูรย์“ ยัน ปชป. อยากได้คนรุ่นใหม่เข้ามานำพรรค ชี้ “นราพัฒน์” เพิ่ง 54 ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ แนะ ใครแพ้ต้องยอมรับ ช่วยกันทำงาน ไม่ใช่แพ้แล้วผละหนี พรรคถึงไปไม่รอด
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายไพฑูรย์ แก้วทอง กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บิดา นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะลงสมัครชิงตำแหน่งหัวน้าพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ 9 กล่าวถึงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ว่า เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ ซึ่งทุกคนก็อยากให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารพรรค ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับสมาชิก
“ตอนนี้พรรคต้องนำคนรุ่นใหม่มาทำงาน เพื่อให้ถึงลูกถึงคน อะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ก็จะต้องรับฟังได้ทุกอย่าง ไม่ใช่เมื่อความเห็นไม่ตรงกันก็ถอดใจ ดังนั้น จึงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์" นายไพฑูรย์ กล่าว
นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ตนก็มีหน้าที่สนับสนุน และทุกคนนับถือตนเป็นเสมือนพ่ออยู่แล้ว ซึ่งนิสัยใจคอของนายนราพัฒน์ มีความนิ่งกว่าตน และถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีประสบการณ์ แม้จะอายุ 54 ปี แต่ผ่านประสบการณ์มามากทั้ง ส.ส.4 สมัย และผู้ช่วยรัฐมนตรี 2 สมัย และยังมีแนวคิดที่จะรื้อฟื้นโครงการยุวประชาธิปัตย์ ที่ทำให้พรรคเข้มแข็งด้วย แต่หากนายนราพัฒน์ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ก็ไม่เป็นไร เพราะอยู่ตำแหน่งใดก็สามารถทำงานได้ แต่นิสัยใจคอของนายนราพัฒน์ สามารถอยู่กับใครก็ได้ ทำงานได้ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า หาก นายนราพัฒน์ แพ้การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแล้ว ก็จะยังคงอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อใช่หรือไม่ นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะอย่างตนเอง ก็ยังเคยทำงานกับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทุกคนสามารถทำงานกันได้หมด เมื่อถามย้ำว่า การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ จะทำให้เกิดความขัดแย้งอีกหรือไม่ นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลา เพราะเป็นเรื่องของอนาคต แต่นายนราพัฒน์ ก็ยืนยันแล้วว่า หากชนะก็จะเชิญ น.ส.วทันยา บุนนาค มาร่วมทำงานด้วย หรือหากไม่มีสิทธิชนะก็พร้อมช่วยงานผู้ชนะ
เมื่อถามว่า นายนราพัฒน์ ได้มาหารือกับนายไพฑูรย์ หรือไม่ นายไพฑูรย์ กล่าวว่า นายนราพัฒน์ ไม่ได้มาหารือกับตนอย่างเฉพาะเจาะจง เพียงแตมีการพูดคุยกันทั่วไป และตนไม่ได้เข้าข้างใคร แต่การช่วยหาเสียงก็เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ใช่การหาเสียงว่า ลูกตนเองดีอย่างไร แต่ให้สมาชิกพรรค ได้พิจารณาตัดสินใจเอาเอง
“ไม่ว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็จะต้องยอมรับ ไม่ใช่แพ้แล้วหนีออกจากพรรค เหมือนที่ผ่านๆ มา เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีเจ้าของ ดังนั้น ผู้แพ้ก็ควรอยู่กับพรรค และผู้ชนะจะต้องใจกว้างเชิญมาร่วมงานด้วย ไม่ทำให้เกิดปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะนายนราพัฒน์ เพียงคนเดียว แต่จะต้องใช้คนหลายๆ ฝ่ายทำงานร่วมกัน และจะต้องใจเย็น ไม่ทะเลาะกัน เพราะที่ผ่านมา ผู้แพ้ก็จะลาออกจากพรรค ผู้ชนะก็ไม่ได้ชักชวนผู้แพ้มาร่วมงานด้วย กลายเป็นคนละพวก จึงไปไม่รอด และหวังว่า การสื่อสารของผมจะเป็นแนวทางให้ทุกคน และผู้ใหญ่ในพรรคได้พิจารณาด้วย” นายไพฑูรย์ กล่าว