“สมศักดิ์ เจียม” ยกบทเรียน “อิตาลี” และหลายประเทศ ที่มีโครงการตำรวจจีนดูแลนักท่องเที่ยวจีน แต่ยกเลิกหมด เพราะเจอปฏิบัติการ “ข่าวกรองแฝง” ต่อกลุ่มต่อต้านรัฐบาลจีน “อดีตบิ๊กข่าวกรอง” ชี้ มันมีอะไรแปลกๆ
น่าสนใจอย่างยิ่ง วันนี้ (13 พ.ย. 66) เพจเฟซบุ๊ก Somsak Jeamteerasakul ของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ต้องหาคดี ม.112 ลี้ภัยในฝรั่งเศส โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า
“การที่รัฐบาลบอกว่า ประเทศอื่นๆ อย่างอิตาลี ก็มีโครงการเชิญตำรวจจีนเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวจีนนั้น ก็มีส่วนถูกต้องอยู่...
...แต่สิ่งที่รัฐบาลไม่ได้บอกด้วย คือ อิตาลีเองก็ยกเลิกโครงการนั้นไปตั้งแต่ปลายปี 2022 แล้วครับ หลังองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พบว่า ตำรวจจีนเข้ามาทำงานด้านข่าวกรอง เพื่อคอยจับตากลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลจีนและติดตามพฤติกรรมของคนจีนโพ้นทะเลด้วย จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ดังที่เป็นข่าวมาตั้งนานแล้ว
https://www.reuters.com/.../italy-stops-joint-police...
และไม่ใช่แค่ที่อิตาลีอย่างเดียว ประเทศอื่นๆ ก็เจอกรณีปฏิบัติการด้านข่าวกรองแฝงของตำรวจจีนเหมือนกัน แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา สื่อต่างประเทศรายงานไว้เยอะแยะครับ (แต่รัฐบาลไทยได้ทราบเรื่องนี้มาก่อนรึป่าว?)
ตัวอย่างเผื่อใครสนใจ อันนี้สกู๊ปข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการแฝงของตำรวจจีนในอเมริกา: https://archive.is/wGdhy
จากคุณ Teeranai Charuvastra”
ขณะเดียวกัน นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ระบุว่า
“มันมีอะไรแปลกๆ
แปลกแรก
สื่อไทยเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศของไต้หวัน
ออกสื่อสัมภาษณ์เรื่องจีน
เรื่องจีนเดียวเป็นนโยบายของไทยมานาน
สื่อของรัฐต้องรอบคอบมากกว่านี้
ปัญหาการรวมจีนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก
เรื่องแปลกที่สอง
ใครเป็นคนคิด หรือนโยบายของใคร
จะให้ตำรวจจีนมาร่วมกับตำรวจไทย
ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาก
อ้างว่าเพื่อให้นักท่องเที่ยวจีนอุ่นใจ
ถามจริง คิดได้ไง เอาจริงหรือคิดเล่นๆ
หากประเทศอื่นขอให้มีตำรวจของเขา
มาทำงานร่วมแบบจีนบ้างจะได้ไหม
จะอนุญาตไหม
ทำไมจะดูถูกตำรวจไทยขนาดนั้น
นี่มันตบหน้ากันชัดๆ
หากตำรวจมีกำลังไม่พอ. ก็เพิ่มให้สิ
หรือจะให้ท้องถิ่นเพิ่มกำลังมาช่วยตำรวจ
ก็น่าจะดีกว่าให้ตำรวจชาติอื่นมาทำงาน
ไม่เสียศักดิ์ศรีของประเทศและตำรวจไทย
นักท่องเที่ยวจีนมาไทยน้อย
ต้องหาสาเหตุให้ชัด ไม่ใช่ทำอย่างนี้
แต่ที่สงสัยและแปลกใจ
ทำไมมีข่าวจีนออกมาถี่ในช่วงนี้
มันมีอะไรผิดปกติไหม
#ตำรวจจีน #ทุนจีนสีเทา”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2566 เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีมาตรการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวจีนเกิดความเชื่อมั่นว่า จากการประชุมหารือเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนนายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ที่สหรัฐฯ ในการหารือ ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้หารือเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะปัญหาความปลอดภัยจากคนจีนกลุ่มสีเทาที่เข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทย โดยทาง สตช. รายงานว่า พฤติกรรมของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมของคนจีนที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย พบว่า พวกกลุ่มคนจีนสีเทา มีความเกรงกลัวตำรวจจีนด้วยกันเอง และนักท่องเที่ยวจีนจะรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษจากพวกเกเรทั้งหลายที่เป็นคนจีนด้วยกันแต่มารังแกคนจีนที่มาท่องเที่ยวไทย หากมีตำรวจจีนมาช่วยดูแล เขาจะรู้สึกเชื่อมั่นเป็นพิเศษ
ดังนั้น ตำรวจของไทยจึงคิดว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการกำราบกลุ่มจีนสีเทา คือ ขอให้ตำรวจจีนเป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติงาน ซึ่งปกติการทำงานร่วมกันของตำรวจสากลมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้แสดงออกให้เห็นชัดเจนขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยได้รับข้อมูลและเบาะแสที่แม่นยำรวดเร็วขึ้น ซึ่งตำรวจจีนมีข้อมูลและมีเบาะแสพร้อมจะให้ความร่วมมือกับตำรวจไทยเต็ม 100% และพร้อมจะให้ข้อมูลชี้เบาะแสล่วงหน้า ป้องกันไม่ให้พวกคนจีนที่คิดไม่ดีมาก่อเหตุและทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทยของคนจีน รวมถึงนักท่องเที่ยวจีนมีความเชื่อมั่นถ้ามีตำรวจจีนมาร่วมทำงานกับตำรวจไทย
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ข่าวที่จะให้ตำรวจจีนมาตระเวนดูแลความปลอดภัยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงเพียงแค่มาร่วมมือทำงานและให้ข้อมูลเบาะแสเพื่อให้ตำรวจไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าประเทศไทยเป็นเอกราชทำไมต้องใช้ตำรวจจีนมาลาดตระเวน เรื่องที่มีลักษณะสร้างสรรค์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเช่นนี้ ทำไมต้องบิดเบือนและลากให้ไปโยงกับเรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศเช่นนั้น ขออย่าได้เล่นเกมวาทกรรมทางการเมืองกันจนเกินกว่าเหตุเช่นนี้เลย เรามามุ่งสมาธิให้กับการทำงานรับใช้ประเทศชาติและประชาชนกันดีกว่า