โฆษก กก.ศึกษาประชามติ หวั่น ประชามติตกม้าตาย เหตุ ปชช.ออกมาใช้เสียงไม่ถึงครึ่ง โยนสภาแก้ กม.ให้คลี่คลาย จ่อชงคําถามแก้ รธน.ให้ ส.ส.- ส.ว.หลังเปิดสมัยประชุม ธ.ค.นี้
วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ทําเนียบรัฐบาล นายนิกร จํานง โฆษกคณะกรรมการเพื่อพิจารณา ศึกษา แนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติ ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับกลุ่มนักศึกษา เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เราตั้งใจหารือกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญนานกว่าคนรุ่นตน โดยในวันนี้ได้เชิญหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มราษฎร 63 ที่เคยมีการชุมนุมและให้ความเห็นในเรื่องการทำประชามติ โดยเราได้ส่งคำถามที่จะใช้ถามต่อสมาชิกรัฐสภาให้กับกลุ่มนักศึกษาที่เข้ามาพูดคุยในวันนี้ เพื่อดูว่ามีความเห็นอย่างไร และทดสอบคำถามไปในตัวด้วย
นายนิกร กล่าวต่อว่า เมื่อได้มติจากคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ก็จะนำคำถามเหล่านี้ไปสอบถามต่อสมาชิกรัฐสภาทั้ง 750 คน เมื่อมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยจะขออนุญาตอนุญาตนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในการเสนอเรื่องนี้เข้าไปในที่ประชุม ส.ส.และ ส.ว. ซึ่งคาดว่า จะเข้าที่ประชุม ส.ส.ในวันที่ 13-14 ธันวาคม และเข้าที่ประชุม ส.ว.ในวันที่ 18-19 ธันวาคม จากนั้นจึงจะมีการประชุมในวันที่ 22 ธันวาคม พร้อมกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้ข้อสรุป
นายนิกร กล่าวว่า จากที่ตนได้หารือกับ นายวุฒิสาร ตันไชย ประธานอนุกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ ซึ่งเมื่อเช้าได้มีการเชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาหารือ ทาง กกต.ได้มีการสอบถามค่าใช้จ่ายในการทำประชามติ ที่ประชุมจึงเสนอจํานวน 3,250 ล้านบาท และอาจจะต้องใช้แอพพลิเคชัน เนื่องจากเราไม่มีเครื่องมือ และอาจต้องใช้งบสูงถึง 10,000 ล้านบาท
ส่วนที่มีข้อเสนอให้การจัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งอื่น เมื่อดูรายละเอียดพบว่ามีข้อกฎหมาย 3 ฉบับซ้อนกัน ดังนั้น หากมีการสอบถามความเห็นการทำประชามติในขั้นตอนแรกก็คงไม่ทัน เพราะต้องรอไปถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 67 แต่อาจจะทําซ้อนได้ในการทําประชามติครั้งที่ 2
นายนิกร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลอย่างยิ่งในเรื่องกฎหมายที่ใช้ทำประชามติ ที่กำหนดให้มีเสียงข้างมาก 2 ชั้น เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ประชาชนใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของทั้งหมด เท่ากับ 20 กว่าล้านคน ทำให้มีข้อกังวลว่าเมื่อไม่ใช่การเลือกตั้ง ส.ส. จะทำให้การออกมาของประชาชนเป็นเรื่องยาก การที่ประชาชนจะออกมาเกินกึ่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสจะเดี้ยง เพราะในกึ่งหนึ่งนั้นจะต้องมีส่วนเห็นชอบอีกกึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ การทำประชามติครั้งแรกอาจได้รับความสนใจ แต่ในรอบ 2 ประชาชนจะเข้าใจในมาตรา 256 เรื่องการตั้ง ส.ส.ร.หรือไม่ อาจจะเป็นตัวเร่งให้ทำซ้อนพร้อมกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แต่อาจจะตกม้าตาย เพราะประชาชนออกมาไม่ครบ จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่าหากกฎหมายทําประชามติมีปัญหาก็ต้องแก้ เป็นเรื่องที่สภาต้องไปคุยกัน แต่คณะอนุฯ ของเราไม่รอ จะทำตามกฏหมายที่มีอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขกฎหมายประชามติ ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ นายนิกร กล่าวว่า ไม่นาน น่าจะทันการ เพราะถ้าแก้กฎหมายทําประชามติแล้ว ก็น่าจะเริ่มขั้นตอนถามความคิดเห็นจากประชาชนเรื่องการทําประชามติในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 67 แก้ให้คลี่คลายจะได้ใช้ประโยชน์ แต่ส่วนตัวมองว่าจะทำไม่ได้เพราะประชาชนออกมาใช้สิทธิไม่ครบ ทั้งนี้ หากมีการถามเรื่องประชามติในช่วงเดือนเมษายน ปี 67 ก็น่าจะใช้เวลาประมาน 90-120 วัน ก่อนจะมีการทำประชามติต่อไป