เมืองไทย 360 องศา
สังเกตหรือไม่ว่า พรรคก้าวไกลเวลานี้ไม่ค่อยคึกคักเหมือนก่อน แทบทุกอย่างเหมือนอยู่กับที่ อาจเป็นเพราะช่วงก่อนหน้า “เจอแต่เรื่อง” แถมยังเป็นเรื่อง“น่าอาย” แทบทั้งสิ้น ประเภท “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” อะไรประมาณนั้น ยกมาตรฐานตัวเองไว้สูงลิบ เป็นการเมืองในฝัน สร้างอนาคตในยุคใหม่ แต่เอาเข้าจริงทุกอย่างกลายเป็นอีกเรื่อง ถูกเยาะเย้ยหยาบหยาม จนแทบไม่กล้าส่งเสียงดัง หรือไม่ก็พยายามใช้เรื่องอื่นมากลบเกลื่อนก็มี
เพราะช่วงไม่นานมานี้ พรรคก้าวไกลล้วนมีเรื่องราวให้ชวนปวดหัวและน่าอับอายติดๆ กันหลายเรื่อง ทั้งในเรื่อง ส.ส.เมาแล้วขับ ทำให้ต้องลาออกจากส.ส. ทั้งที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาเพียงไม่กี่วัน กรณีส.ส.ที่มีประวัติอาชญากรรม มีประวัติคดีฉ้อโกง เคยถูกพิพากษาจำคุก ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. จนต้องลาออก มีการเลือกตั้งซ่อม แม้ว่าผลการเลือกตั้งผู้สมัครจากพรรคนี้ได้รับการเลือกตั้งก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เริ่มมีการตั้งคำถาม ถึงกรณีการตรวจสอบผู้สมัครแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร
ถัดมา ก็มีเรื่อง “รองอ๋องเชียร์เบียร์” ของ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่มีเรื่องราวให้พูดถึงมากมาย จนทำลาย “มาตรฐานชั้นสูง” ของพรรคก้าวไกลลงมาได้หลายขั้นทีเดียว เริ่มจากการโฆษณาเบียร์สดในพื้นที่เลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย อีกเรื่องที่ถูกเยาะเย้ยว่า “สร้างภาพ” ไม่รู้เหนือรู้ใต้ จากการใช้งบหลวงเลี้ยง “หมูกระทะ” กับบรรดาแม่บ้านของบริษัทเอกชนที่รับจ้างมาดูแลความสะอาดในอาคารรัฐสภา เพราะแทนที่จะใช้เงินส่วนตัวก็ว่าไปอย่าง กลายเป็นถูกวิจารณ์ในทางลบ ไม่รู้ว่าได้คุ้มเสียหรือไม่ และติดๆกัน ยังมีเรื่องวิจารณ์ว่าใช้งบหลวงไปดูงานที่สิงคโปร์แบบ “ผลาญงบ” หรือแม้แต่การใช้ “ลูกเล่นทางกฎหมาย” เหมือนกับการรวมหัวกับพรรคก้าวไกล ขับออกจากพรรคไป “ฝากเลี้ยง” กับพรรคอื่น เพื่อรักษาเก้าอี้รองประธานสภาเอาไว้ ความหมายก็คือ “กอดเก้าอี้ไว้แน่น” นั่นแหละ
แต่ที่ทีเด็ดหนักหน่วง ก็คือกรณี “คุกคามทางเพศ” หรือความหมายบ้านๆ แบบว่า “ส.ส.บ้ากาม” นั่นแหละ ประเภทยิ่งคุ้ยยิ่งเจอ จนดิ้นไม่ออกก็ต้องขับไล่ออกจากพรรคไปบ้าง สำหรับบางคนที่เป็นแค่อดีตผู้สมัครส.ส. ขณะที่ประเภทคนที่ยังเป็น ส.ส. ก็ใช้วิธีตักเตือน ตำหนิ หรือไม่ก็ใช้วิธีห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมไปถึงการตรวจสอบที่ต้องใช้เวลาหาความชัดเจนต่อไป อ้างว่า “เพื่อความชัดเจนและเป็นธรรม” อย่างเช่น รายล่าสุด กรณี ส.ส.ฝั่งธนฯ บางคนที่ถูกกล่าวหาอื้ออึง ตอนแรกก็ประกาศว่า จะสรุปให้รู้เรื่องภายในเดือนตุลาคมนี้ ก็ต้องรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร เนื่องจากอีกไม่กี่ชั่วโมง ก็จะพ้นเดือน ล่วงเข้าเดือนใหม่ คือเดือนพฤศจิกายนแล้ว หรืออาจต้องขยายเวลาเพื่อตรวจสอบหลักฐานเพิ่มหรือเปล่า ต้องรอดู
นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เพิ่งถูกแฉตามมาอีกว่า มีส.ส.บางพรรค จำนวนร่วม 30 คน มีคดีอาญาติดตัวรวมกันเกือบร้อยคดี ซึ่งแม้ไม่มีการระบุชื่อ ก็รับรองว่าต้องมี ส.ส.พรรคก้าวไกล รวมอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อาจเป็นส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดก็ได้ หากพิจารณาจากความเป็นจริงในเรื่องของการถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดีที่ผ่านมา จากการชุมนุมของพวก“ม็อบสามนิ้ว” และในเวลาต่อมามีหลายคนที่กลายมาเป็นผู้สมัครส.ส. และเป็นส.ส. บางคนก็กำลังจะถูกศาลนัดอ่านคำพิพากษาในเดือนธันวาคมนี้ เช่น กรณีของ “ไอซ์” น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพมหานคร เป็นต้น กรณีของ “โตโต้” นายปิยรัฐ จงเทพ ที่เคยร่วมม็อบสามนิ้ว, น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี เป็นต้น ส่วนใหญ่พวกเขาถูกดำเนินคดีความผิดตาม มาตรา 112 หลายคดีเริ่มเดินทางมาเกือบสุดทางแล้ว นั่นคือ เริ่มทยอยมีคำพิพากษาออกมาแล้ว และส่วนใหญ่ถูกจำคุกแทบทั้งสิ้น
แน่นอนว่า เรื่องคดีก็ว่าไปตามกฎหมาย ตามขั้นตอน มีสิทธิต่อสู้คดี แต่เมื่อผลออกมาแบบไหน มันก็ต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรม แต่กลายเป็นว่า ส.ส.และพรรคการเมืองพวกนี้กำลังผลักดันให้มีการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรม” ที่เกือบเรียกว่า “เหมาเข่ง” โดยให้รวมคดี “หมิ่นพระมหากษัตริย์” เป็นคดีการเมือง แม้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำการได้สำเร็จ และที่สำคัญ หากมีการนิรโทษกรรมได้จริงๆ คำถามก็คือ เรื่องมันยังไม่จบ เพราะคนพวกนี้ “ไม่ได้สำนึกผิด” นิรโทษความผิดออกมาแล้ว ก็ยังทำแบบเดิมอีก ผิดจากกรณีอื่น ที่ผู้กระทำความผิดยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ อีกทั้งกรณีความผิด มาตรา 112 เป็นคดีอาญา จงใจละเมิด ไม่ใช่คดีคิดต่างทางการเมือง
จะเรียกว่า “งานเข้า” ชุก มากจริงๆ สำหรับพรรคก้าวไกลเวลานี้ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากผลงานในสภา ตั้งแต่เปิดสภาจนปิดสภา ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ไม่เป็นโล้เป็นพาย การอภิปรายนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา อาจเรียกว่าเป็น “สนามซ้อม” สำหรับศึกซักฟอกในสมัยประชุมหน้า ก็ไม่น่าจะสร้างความหวังให้ชาวบ้านได้เลย กลายเป็นว่า เป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่ “แย่งซีน” ปาดหน้าไปหน้าตาเฉย
ขณะที่ผลงานนอกสภา ก็อับเฉาลงไปถนัดตา โดยเฉพาะพวก “ม็อบสามนิ้ว” ที่รับรู้กันดีว่ามีพรรคก้าวไกลอยู่ข้างหลัง การเคลื่อนไหวอาจร้อนแรงในช่วงต้นรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นต้นมา สามารถสร้าง “เงื่อนไขเผด็จการสืบทอดอำนาจ” สร้างกระแสการชุมนุมให้กับบรรดาเด็กนักศึกษา ให้เดือดพล่านได้ไม่ยาก ทำนอง “เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน” อะไรประมาณนั้น แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล กลายเป็น“ฝ่ายประชาธิปไตย” เข้ามาแล้ว แถมยังเป็นประชาธิปไตย “ผสมพันธุ์ข้ามขั้ว” ถึงกับอึ้งไปเลย
แต่มันก็ทำให้เงื่อนไขในการเคลื่อนไหว “ฝ่อลง” ไปด้วย ขณะที่หากมองว่า “ม็อบสามนิ้ว” คุกคามสถาบันฯ แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในเวลานี้ “สถาบันฯ” มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เมื่อเทียบกับสามสี่ปีก่อน หรือแม้แต่ กระแสการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” เวลานี้กลายเป็นว่า ไม่ค่อยตื่นตัวกันเท่าใดนัก หลังจากผ่านพ้นการโหวตนายกรัฐมนตรี ได้นายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ผ่านไปแล้ว และในเดือนพฤษภาคมปีหน้า หรืออีกไม่กี่เดือน ส.ว.พวกนี้ก็จะ“สิ้นสภาพ” ไปโดยปริยาย ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรที่ต้องเคลื่อนไหวมากมาย รวมไปถึงกระแส ร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ลดความร้อนแรงลงไปมาก หลังจากที่พรรคเพื่อไทย ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้เกิดอาการ “ยื้อ” ไปจนครบ 4 ปี
อีกทั้งหากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มันก็คงไม่อาจบันดาลให้ใครสามารถพลิกชีวิตได้ในชั่วข้ามคืน เพราะคนที่ได้ประโยชน์ ได้ ก็มีแต่นักการเมือง พวก“บ้านใหญ่” สับเปลี่ยนกันมาเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับชาวบ้านโดยตรง
หากให้สรุปแบบเห็นภาพก็ต้องมองว่า เวลานี้พรรคก้าวไกลกำลังอยู่ในช่วง “หยุดชะงัก” หรืออยู่กับที่ อาจจะยังไม่ถึงขั้นถดถอย เพียงแต่ว่าไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงก่อนเลือกตั้ง จนถึงหลังเลือกตั้งใหม่ๆ ที่มีความต้องการให้เป็นรัฐบาล อยากให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคในตอนนั้น ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พอเวลาผ่านไป ได้เห็นแนวความคิดของแกนนำหลายคน มันก็เริ่มลังเล บางคนถึงขนาดโล่งอก ทำนองว่าโชคดีที่พรรคนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาล อะไรประมาณนั้น
ขณะที่เมื่อได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ คือนายชัยธวัช ตุลาธน ก็ยังไม่แหลมคม แต่กลับเป็นมุมมองของ “ตัวแทน” ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำตัวเป็นผู้นำจิตวิญญาณ ไปเสียอีก
อีกทั้งบทบาทที่สังคมที่เรียกร้อง เรื่อง “คนเท่ากัน” อยากได้เห็น กลับเงียบฉี่ ไม่เคยมีความเห็นจริงจังออกมาให้เห็นเลย กรณี “นักโทษเทวดาชั้น 14 ” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ ทำให้มีการตั้งคำถามว่า ทำไมถึงได้วางเฉยกับเรื่องแบบนี้ เป็นเพราะมี“ดีลลับ” ระหว่างเจ้าของพรรคด้วยกัน หรือไม่ จนมองไกลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่เชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะ “แลนด์สไลด์” มันจะเป็นไปได้แค่ไหน !!