ข่าวปนคน คนปนข่าว
** โพลให้“เศรษฐา”สอบผ่าน กับผลงานช่วง 2 เดือน เจ้าตัวถือโอกาสเคลียร์ดรามาภาพ“จุ๊บ”มือ“อุ๊งอิ๊ง”
หลังจาก “เศรษฐา ทวีสิน” รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.66 และได้แถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 ก.ย.66 ถึงวันนี้ ถือว่าได้บริหารราชการมาเกือบครบ 2 เดือนแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ใช้เวลาไปกับการเดินทางไปต่างประเทศหลายวาระ เริ่มจากการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ UNGA ครั้งที่ 78 ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็เข้าร่วมการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (BRF) ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อด้วยการเข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ ครั้งที่ 1 ที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมาร แห่งซาอุดิอาระเบีย เพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ทั้งสามประเทศดังกล่าว นอกจากนายกรัฐมนตรีได้พบปะกับผู้นำประเทศแล้ว ยังได้พบปะเจรจากับผู้นำภาคธุรกิจหลากหลายสาขา ทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านพลังงาน การเงิน ยานยนต์ และอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้มาลงทุนในประเทศไทย
ส่วนผลงานด้านการลดค่าครองชีพของประชนในประเทศ ที่พอจะเห็นเป็นรูปธรรม อาทิ การลดค่าพลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าเป็น 20 บาท ตลอดสาย นำร่องด้วยสายสีม่วง และสายสีแดง นโยบายกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว พร้อมทั้งยืนยันสานต่อนโยบายแลนด์บริดจ์ เพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น
ล่าสุด “นิด้าโพล” ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ว่าในช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมานี้ มีความพอใจกับการบริหารงานของ “นายกฯเศรษฐา” แค่ไหน ให้สอบผ่านหรือไม่ โดยตั้งประเด็นว่า “สนใจเรื่องนายกเศรษฐา เยือนต่างประเทศหรือไม่”
พบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ได้ติดตามข่าว การเยือนต่างประเทศของนายกฯเลย , ร้อยละ 24.43 ระบุว่า การเข้าพบผู้นำ หรือบุคคลสำคัญในต่างประเทศ, ร้อยละ 24.35 ระบุว่า บทบาท และผลการเยือนต่างประเทศของนายกฯ, ร้อยละ 21.83 ระบุว่า การแต่งกาย/เสื้อผ้าของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ, ร้อยละ 19.69 ระบุว่า การให้สัมภาษณ์ของนายกฯระหว่างเยือนต่างประเทศ, ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ลักษณะท่าทาง และ/หรือ ภาษากายของนายกฯ ระหว่างเยือนต่างประเทศ, ร้อยละ 10.31 ระบุว่า การจัดการต้อนรับของประเทศเจ้าภาพ, และร้อยละ 1.98 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
เมื่อถาม ผู้ที่ติดตามข่าวการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกฯ (799 หน่วยตัวอย่าง) ถึงความพอใจต่อบทบาทของ “นายกฯเศรษฐา” เกี่ยวกับการเดินทางเยือนต่างประเทศ พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46.31 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ , รองลงมา ร้อยละ 23.40 บอกว่า พอใจมาก, ร้อยละ 20.27 ว่า ไม่ค่อยพอใจ, ร้อยละ 9.39 ว่า ไม่พอใจเลย,และร้อยละ 0.63 บอกไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ถือว่า “นายกฯเศรษฐา” สอบผ่าน เพราะกลุ่มตัวอย่างที่ตอบว่า “ค่อนข้างพอใจ กับ พอใจมาก” รวมแล้วมีจำนวนถึง ร้อยละ 69.71 ส่วนที่บอกว่า “ไม่ค่อยพอใจกับไม่พอใจเลย” รวมกันแล้วมีเพียงร้อยละ 29.66 เท่านั้น
ปฏิกิริยาจากผลโพลนี้ “นายกฯเศรษฐา” บอกว่า ต้องขอบคุณ ตนเองพร้อมรับคำติชม หากตรงไหนที่เราปรับปรุงได้ ก็ยินดี เข้าใจว่ายังมีเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขพอสมควร ซึ่งรัฐบาลก็พยายามอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ “เศรษฐา” ยังชี้แจงถึงเรื่องมีนายกฯสองคน และประเด็นดรามาจากภาพที่กำลังจับมือ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ โดยมีการโน้มตัวก้มลง คล้ายกำลังจะ “จุ๊บ” มือ “อุ๊งอิ๊ง” ว่า... จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับ “อุ๊งอิ๊ง” เรามีกันมานาน ในฐานะพี่น้อง “อุ๊งอิ๊ง” เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ตนเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และเราก็ต่อสู้ด้วยกันมา ร่วมทุกข์ร่วมสุขเวลาหาเสียง เรามีความรัก มีความเมตตา เรามีความเอ็นดู และเราก็มีความเป็นห่วงซึ่งกันและกัน มันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์มากกว่า
“ถ้าหากดูให้ดีๆ ผมก็ไม่ได้จุมพิตที่มือท่าน ผมเอามือผมไปรองอยู่แล้ว มันเป็นความรัก ความเอ็นดู ความผูกพัน และเป็นความเป็นห่วงซึ่งกันและกัน ก็ขอเลยว่า อย่าขยายความเรื่องนี้ต่อดีกว่า และบอกว่ามันเป็นเรื่องครอบครัวดีกว่า เป็นครอบครัวเพื่อไทย แล้ววันนี้ผมเป็นนายกฯ ก็บริหารจัดการหน้าที่ตัวเองไป ท่านเองเป็นรองประธานคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ท่านก็บริหารจัดการไป เราเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหาตรงนี้ ประเทศไทยมีนายกฯ คนเดียวครับ”
** ลุ้นกันพรุ่งนี้ “ลุงพล” รอดไม่รอดคดี “น้องชมพู่” พิสูจน์กึ๋นตำรวจไทยยุค“บิ๊กปั๊ด”
ลุ้นกันระทึก วันพรุ่งนี้แล้ว (31 ต.ค.) ศาลอาญาจะอ่านคำพิพากษาคดีที่เกี่ยวข้องกับการตายของ “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ชาวหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งหายตัวไปจากบ้าน เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 แล้วถูกพบเสียชีวิตอยู่ในป่าบริเวณเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านประมาณ 2 กม.เมื่อวันที่ 14 พ.ค.63
คดีนี้มีจำเลยที่กลายเป็น “เซเลบโซเชียลฯ” โด่งดังระดับประเทศไปแล้ว นั่นคือ “ลุงพล” นายไชย์พล วิภา ผู้เป็นสามีของ“ป้าแต๋น” นางสมพร หลาบโพธิ์ พี่สาวของแม่น้องชมพู่ นั่นเอง
“ลุงพล” ถูกฟ้อง 3 ข้อหา สรุปสั้นๆคือ พรากเด็กไปจากพ่อแม่, ทอดทิ้งเด็กจนเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ เพื่อทำให้ผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
เป็นที่สังเกตว่า“ลุงพล”ไม่ได้โดนข้อหาฆ่าคนตาย นั่นเพราะผลชันสูตรที่ออกมาปรากฏว่า ไม่พบร่องรอยการฆาตกรรม หรือ การล่วงละเมิดทางเพศ แต่กระเพาะไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ มีเพียงของเหลวเล็กน้อย 10 มิลลิลิตร
ข้อหาที่ “ลุงพล”โดน ก็มีคำถามเช่นกันว่า มีโอกาสที่ลุงพลจะเป็นคนพา “น้องชมพู่” ไปปล่อยในป่าจริงหรือไม่ คำตอบคือ เป็นไปได้ แต่ในเงื่อนไขที่ไม่ง่าย เพราะในวันเกิดเหตุ ลุงพล ออกจากบ้าน เวลา 09.45 น. แล้วไปถึงวัดในเวลา 10.07 น. ถ้าลุงพล เป็นคนร้ายจริง เขาต้องจับตัวเด็กเอาไปปล่อยในป่า ก่อนจะทำลายหลักฐาน ดีเอ็นเอทั้งหมด แล้วรีบขับรถไปหาพระที่วัด โดยต้องทำภายใน เวลา 22 นาที ซึ่งเป็นไปได้ แต่ยากพอสมควร
ความไม่ชัดเจนของพยานหลักฐานที่จะบอกว่า “ลุงพล” เป็นคนร้ายตัวจริงนี่แหละ ทำให้คนจำนวนมากที่ติดตามข่าวมองว่า ลุงพลโดนกลั่นแกล้ง จนเกิดกระแส #Saveลุงพล และผลักดันให้ลุงพล กลายเป็นคนดังทั้งในสื่อกระแสหลัก และในโลกโซเชียลฯ ในที่สุด
ในทางตรงกันข้าม สำนวนคดีของ “ลุงพล”กลับมีคำถามอยู่มากมาย ที่สะท้อนฝีมือตำรวจไทยยุคที่มี “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เป็น ผบ.ตร. ได้เป็นอย่างดี เพราะกว่าจะมีการออกหมายจับลุงพล เวลาก็ล่วงเลยไปนานกว่า 1 ปีหลังเกิดเหตุ คือ วันที่ 1 มิ.ย.64
ก่อนออกหมายจับ 2 สัปดาห์ “บิ๊กปั๊ด” ให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.64 ว่า “คดีน้องชมพู่ยังไม่จบ แต่เรามีคำตอบให้แน่นอน ช้าเร็ว อยู่ที่เรา และผมเชื่อว่ามีคำตอบที่สังคมพอใจแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน”
และหลัง “ลุงพล”ถูกจับ “บิ๊กปั๊ด” เปิดแถลงข่าวแบบร่ายยาว เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.64 แต่ก็พูดได้เพียงกว้างๆ เช่นว่า “เราทำตามพยานหลักฐานที่รวบรวมไว้ แล้วไปขอหมายก็ต้องดำเนินคดีไปตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนพยานหลักฐานมีการพูดถึงกันเยอะมาก แต่ไม่สามารถออกมาพูดรายละเอียดได้ ยืนยันถ้าไม่มีพยานหลักฐาน ตำรวจไม่สามารถขอหมายจับได้ เราจะตั้งข้อหาใครต้องมีพยานหลักฐานเท่านั้น”
“ตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน หากคนอื่นจะคิดอย่างไรก็เป็นสิทธิของเขา เจ้าหน้าที่ทำไปตามกฎหมาย ตามพยานหลักฐาน ไม่ได้ทำตามใจใคร”
ผบ.ตร.ขณะนั้น ยังได้เปรียบเทียบคดี “ลุงพล” ไปไกลถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก โดยบอกว่า “คดีนี้เหมือนคดีอื่นๆ ที่ทำมาในชีวิตบางเรื่องหลายปีแล้วยังปิดไม่ได้ก็มี ก็มีได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ทำได้ก็ดีใจ แต่ว่าถ้าเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลอันนี้พึ่งเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ที่แข่งมาก่อนหน้านี้รอบคัดเลือก บางทีมก็เก่งมากพอรอบสุดท้ายตกรอบก็มี บางทีสภาพไม่ดี แต่พอถึงรอบสุดท้ายอาจจะได้แชมป์ก็ได้ ทั้งนี้ต้องสู้กันอีกหลายศาล ก็ต้องว่ากันไป ตราบใดที่ยังไม่ถูกตัดสิน ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องถือเป็นผู้บริสุทธิ์”
“คดีนี้เราใช้นิติวิทยาศาสตร์ ประกอบกับวิชาการ ไม่มีศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งเพียงอย่างเดียวที่จะพิสูจน์ความผิดได้ บางคนถามว่า ทำไมมันนาน มันช้า ผมก็บอกว่ามันก็มีศาสตร์ใหม่ๆ ที่เราเอามาใช้ในเรื่องนี้
“เหมือนเราบอกว่า จะคำนวณความเร็วของรถ มีสูตรในการคำนวณ พนักงานสอบสวนต้องไปหาว่าคุณเอาสูตรนี้มากจากไหน มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราจะหาธาตุต่างๆ ที่อยู่ในเส้นผม ก็ต้องบอกได้ว่าไปเอาวิชานี้มากจากไหน โลกนี้มีใครยอมรับบ้าง” ผบ.ตร.ยุคนั้น กล่าว
และต้องยอมรับว่า “ทั่นบิ๊กปั๊ด” เก่งเหลือเกิน ในเรื่องการใช้สำบัดสำนวนเปรียบเปรย แต่ความเชี่ยวชาญในการทำคดี ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่อง
“พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร” เลขาธิการเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เคยให้ความเห็นในช่วงนั้นว่า การจับกุม “ลุงพล”มีหลายสิ่งผิดปกติ เพราะหลักฐานที่ใช้ขอหมายจับ ไม่มีความชัดเจนว่าใช้หลักฐานอะไร ทั้งพยานวัตถุ พยานวิทยาศาสตร์ หรือพยานบุคคล โดยเฉพาะพยานสำคัญ เป็น เส้นผม หรือเส้นขน ที่ตกอยู่ในจุดเกิดเหตุ หากหลักฐานมีความชัดเจนจริง ทำไมไม่ตั้งข้อหาฆ่าคนตาย
จึงมองว่า หลักฐานเส้นผมอาจตกหลังเกิดเหตุแล้ว หรือไม่ เพราะลุงพล เดินทางไปที่เกิดเหตุ หลังพบศพด้วย และหลักฐานประเภทเส้นผม ไม่สามารถบ่งชี้อะไรได้เลย
ขณะที่ “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้ให้ความเห็นต่อสื่อ เมื่อวันก่อนว่า “คดีลุงพล” มีช่องว่างมากมาย ข้อหาที่ตั้งกล่าวหาลุงพลก็มีจุดอ่อน เพราะว่าแรงจูงใจที่ลุงพลจะพาเด็กขึ้นไปบนภูเขายังไม่ชัดเจน
ที่สำคัญคือคดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานเลย การออกหมายจับก็ใช้เวลานาน หลังเกิดเหตุเกิน 1 ปี
ที่ส่งฟ้องคดีได้ ก็อาศัยพยานแวดล้อม มีการใช้เครื่องจับเท็จ ซึ่งคดีไหนถ้าใช้เรื่องจับเท็จ แสดงว่าพยานหลักฐานมีไม่เพียงพอ
ส่วนที่เอาเครื่องซินโครตอน มาตรวจเส้นผม ก็ไม่มีความละเอียดพอที่จะแยกได้ว่าเป็นเส้นผมใคร
“คดีจึงมีช่องว่างเยอะ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาผิดได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้ามีข้อสงสัยตามสมควร ก็อาจจะยกประโยชน์ให้จำเลย” นี่เป็นความเห็นของ ทนายเดชา
ส่วนจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ ก็ต้องรอติดตาม 10 โมงเช้า พรุ่งนี้