บทสรุปเชิญชวนนักลงทุนจีนของ “เศรษฐา” หนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน ทั้งเรื่อง Landbridge เอกชนร่วมลงทุนรัฐ และลงทุนด้วยมาตรการ BOI พร้อมพัฒนาทางดิจิทัล EV Hub สร้างความมั่นใจความปลอดภัยฟรีวีซ่า เชื่อทั้งหมดต่อยอดลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้าน บ.
วันนี้ (19 ต.ค.) บทสรุปการเชิญชวนนักลงทุนจีน ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้เดินทางเยือนจีน ระหว่างวันที่ 16-19 ตุลาคม 2566 ชี้แจงโครงการ Landbrige สร้างความเชื่อมโยง นำเสนอไทยเป็น EV Hub พร้อมสนับสนุนการพัฒนา Digital และการท่องเที่ยวไทย
โดยไทยและจีนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกันมาตั้งแต่อดีต และมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่สืบเชื้อสายมาจากเชื้อชาติจีน และจะครบรอบ 48 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนดำเนินมาอย่างราบรื่น
การเยือนประเทศจีนในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเข้าร่วมการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation ครั้งที่ 3 ซึ่งนายกฯ เชื่อว่า ข้อริเริ่ม Belt and Road Initiative (BRI) ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศในหลากหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และด้านวัฒนธรรม
ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนสามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางภายใต้ BRI ทั้งทางบกและทางทะเล จึงถือเป็นโอกาสดีในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศไทยกับจีน ปัจจุบันไทยมีเส้นทางถนน R3A ซึ่งสามารถเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังคุนหมิง ทางน้ำมีการเดินเรือในแม่น้ำโขงและการเดินเรือสมุทรระหว่างไทยกับจีน ส่วนทางอากาศก็มีเส้นทางบินตรงจากเมืองใหญ่หลายเมืองของจีนมาไทย
การลงทุน ไทยมีแผนดำเนินโครงการ Landbridge สร้างความเชื่อมโยงจากความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของไทย มีลักษณะทางกายภาพสามารถเปิดสู่ทะเลทั้งสองด้าน และสามารถเป็นประตูในการขนส่งและแลกเปลี่ยนสินค้าของประเทศในภูมิภาค รวมถึงประเทศจีนตอนใต้ เป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งจะช่วยลดเวลา และระยะทางการขนส่งจากเดิม ทำให้ประหยัดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศที่อยู่ทางด้านมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งยังรองรับและส่งเสริมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
องค์ประกอบสำคัญที่จะต้องพัฒนาไปพร้อมกันประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึก 2 ฝั่งทะเล และโครงข่ายเชื่อมโยงระบบราง มอเตอร์เวย์ และทางท่อ รวมถึงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์หลังท่าโดยการถมทะเลเพื่อพัฒนากิจการสนับสนุนท่าเรือ ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดเบา และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ โดยการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมบริการต่างๆ ในพื้นที่
การพัฒนาโครงการฯ เป็นการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public Private Partnership : PPP) โดยให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนโครงการทั้งโครงการในลักษณะท่าเรือเดียวเชื่อม 2 ฝั่ง (One Port Two Sides) โดยโครงการ มีความเหมาะสมในการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งยังก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่จำนวนกว่า 280,000 ตำแหน่ง และเป็นส่วนช่วยทำให้ GDP ของประเทศไทยมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปีอีกด้วย
นอกจากนี้ ไทยยังสนับสนุนการลงทุนด้วยนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการลงทุนในไทย และการในการดำเนินธุรกิจ (ease of doing business) การสนับสนุนการลงทุนด้วยมาตรการจาก BOI ด้วยข้อได้เปรียบของไทยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในอาเซียน โดยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ของภูมิภาค การเข้ามาทำธุรกิจการค้าและการลงทุนกับไทย จึงไม่เพียงแค่รองรับประชากร 67 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงประชากรกว่า 620 ล้านคนในอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับโครงการ Landbridge ข้างต้น
ในส่วนของโครงการ Landbridge นอกจากจะเกิดการพัฒนาด้านโครงสร้างแล้ว โครงการใหญ่ Mega Project ขนาดนี้จะก่อให้เกิดการพัฒนาทาง Digital นำทางสู่การขยายความเจริญทางดิจิทัลสู่ชุมชน ต่อยอดการลงทุนในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลต้องดำเนินการพัฒนาทางการศึกษาอย่างควบคู่ไปด้วย และความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจเหล่านี้ จะก่อให้เกิดการสร้างงานจำนวนมหาศาล
เมื่อมีการพัฒนาด้านโครงสร้างทางรูปธรรมแล้ว รัฐบาลวางแผนพัฒนาทางดิจิทัล เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างครอบคลุมเห็นภาพชัดเจน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนในธุรกิจ Cloud Service Smart City และการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของไทย รวมทั้ง นายกรัฐมนตรีไม่ลืมที่จะระบุถึงการพัฒนาทางการเกษตร Smart Agriculture
รวมทั้ง ในส่วนของการลงทุน EV Hub นายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนภาคเอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อตั้งศูนย์การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ครบวงจรของภูมิภาค โดยได้ย้ำถึงศักยภาพของไทยปัจจัยสนับสนุนที่พร้อม และสภาพแวดล้อมที่ได้เปรียบ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกที่ดำเนินมาตรการเกี่ยวกับ carbon credit และมีผู้ผลิตหลายรายที่แสดงความประสงค์ตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ EV ในไทย โดยนายกรัฐมนตรีจะตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางฐานการผลิตด้านรถยนต์ EV อย่างครอบคลุม
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สร้างความมั่นใจแก่ฝ่ายจีนว่า ประเทศไทยมีความปลอดภัย และพร้อมอำนวยความสะดวกการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวจีน ผ่านมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (Visa Free) ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และพร้อมผลักดันให้เป็นมาตรการแบบถาวรต่อไป ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชนของสองประเทศ
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้โครงการที่รัฐบาลวางแผนดำเนินการนี้ ทำให้เกิดความเชื่อมโยงในวงกว้าง เชื่อว่า จะต่อยอดนำมาถึงการลงทุนที่มากกว่า 1 ล้านล้านบาท