“รสนา" ยื่นร้อง ปธ.คตง.สอบโครงการแจกเงินดิจิทัล ขัดรัฐธรรมนูญ-พ.ร.บ.การเงินการคลัง จี้เรียกประชุม สตง.-กกต.-ป.ป.ช.เพื่อระงับโครงการ หากผิดเชื่อว่าจะเป็นทางลงให้กับรัฐบาล
วันนี้ ( 19 ต.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ยื่นหนังสือต่อประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผ่านน.ส.น้อมจิตร์ สังข์ด่านจาก ที่ปรึกษาการตรวจเงินแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบกรณีแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล เนื่องจากมีปัญหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐ โดยเห็นว่าเป็นอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่จะดำเนินการระงับยับยั้งหากก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเงินการคลังของรัฐและขาดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
น.ส.รสนา อ้างเหตุผล 6 ประการ ที่เห็นโครงการจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของรัฐและอยากให้สตงตรวจสอบ คือ
1.ผลได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งนักวิชาการและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็ออกมาแสดงความคิดเห็น เพราะเวลานี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลถึง 5.6แสนล้านมาแจกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะการบริโภค แต่ควรนำไปทำนโยบายที่ยั่งยืนและเกิดผลระยะยาวมากกว่า
2.น่าขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา เนื่องจากการแจกเงินดิจิตอลโทเคน ยังเกิดความสับสนว่าเป็นเงินตราสกุลใหม่ หรือเป็นสิทธิการใช้เงินแบบดิจิทัล จึงอาจเกิดปัญหาการสำแดงไม่จริงคือสำแดงว่าเป็นเงินดิจิทัล แต่จริงๆเป็นระบบเงินใหม่
3.เพิ่มความสิ้นเปลืองแก่ประเทศโดยไม่จำเป็น โดยเห็นว่าการสร้างระบบใหม่อย่างบล็อกเชน เป็นการใช้เงินมหาศาล หากทำโครงการนี้แล้วไม่ทำอะไรต่อเนื่องเป็นการเสียเงินเปล่า ทั้งที่ดิจิทัลวอลเล็ตมีอยู่แล้ว และการจะนำเงินภาษีมาใช้เพื่อทำบล็อกเชนก็เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
4. โครงการนี้ถือเป็นการใช้เงินของแผ่นดินซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา140 ระบุว่าจำเป็นต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการงบประมาณโดยให้รัฐสภายอมรับ แต่รัฐบาลบอกว่าจะแจกเงิน1หมื่นบาท ตั้งแต่เมษายน 67 เท่ากับว่าจะไม่มีการนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการงบประมาณของแผ่นดิน ซึ่งน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
5.ซุกหนี้สาธารณะ ดูจากรัฐบาลประกาศจะใช้ธนาคารออมสินกู้เงินแทน แล้วนำเงินมาใช้ เท่ากับจะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและซุกหนี้สาธารณะ และเชื่อว่าธนาคารออมสินก็ไม่น่าจะมีหลักการในลักษณะดังกล่าว และ
6.ขัดกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาตรา 9 วรรค 3 ที่กำหนดว่า รัฐบาลจะต้องไม่ใช้งบประมาณแผ่นดินไปใช้ในการหาเสียง ซึ่งการแจกเงินให้เด็กอายุ 16 ปีขึ้นไป คิดว่าเป็นการหาเสียงทางการเมือง เปรียบเสมือนกับการตกเขียว เด็กอายุ 16 ปี อีก 4 ปีข้างหน้าก็อายุ 20 ปี และการแจกเงินให้คนทั้งหมดโดยไม่เลือกน่าจะขัดต่อระเบียบและกฎหมาย จากเหตุผล 6 ข้อดังกล่าว ส่งผลให้โครงการฯน่าจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งพ.ร.บ.เงินตรา ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจและการเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง
"อยากให้ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน สั่งการให้ตรวจสอบเป็นการเร่งด่วนและขอให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน จัดประชุมร่วมกับ กกต. และ ป.ป.ช เพื่อระงับหรือยับยั้งการดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา 8 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะที่ผ่านมาเราเห็นประชาชนและนักวิชาการ ออกมาคัดค้านแต่รัฐบาลไม่ฟัง ฉะนั้นจึงต้องดำเนินการตามกฎหมายที่มีอยู่ เพราะถ้าเกิดความเสียหายจริงและขัดกฎหมาย เราควรจะล้อมคอกก่อนวัวหาย ไม่ใช่วัวหายแล้วค่อยไปจับคนมาติดคุก อย่างเรื่องจำนำข้าวจะเห็นว่ารัฐมนตรีติดคุกถึง 48 ปี จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเงินเราก็สูญสลายไปหมดแล้ว ในฐานะประชาชนเจ้าของภาษี รัฐบาลต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน"
น.ส.รสนา ยังกล่าวว่า การดำเนินโครงการนี้เมื่อรัฐบาลพยายามที่จะหลีกเลี่ยงนำเข้าสู่กระบวนการงบประมาณเพราะระบุว่าจะเริ่มแจกเงินในเดือนเมษายน 67 ดังนั้นหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบน่าจะตรวจสอบได้ และถ้าพบว่าไม่ปกติหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็มีอำนาจในการที่จะสั่งการในเรื่องนี้ต่อไป
นางสาวรสนา ยังได้ขึ้นไปหารือกับผู้แทน สตง. และเปิดเผยว่า สตง.แจ้งว่าจะต้องรอให้รัฐบาลมีมติ ครม.ก่อน เพราะขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจน ว่าจะดำเนินโครงการอย่างไร จะนำเงินส่วนไหนมาใช้จ่าย หากมีรายละเอียดก็จะเข้าสู่การตรวจสอบ ซึ่ง สตง.ก็มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแล้ว ในการดูโครงการนี้ พร้อมย้ำว่าการมาร้องเพื่อให้ สตง.ทำตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งกรณีนี้ก็อาจจะเป็นทางลงให้กับรัฐบาลได้ เพราะหาเสียงมา หากไม่ทำหรือถอยก็จะเสีย แต่หากการตรวจสอบออกมาแล้วไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการถกเถียงด้วยข้อกฎหมาย ไม่ใช่ด้วยอารมณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนี้น.ส.รสนา ยังจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงประธาน กกต.และประธาน ป.ป.ช.ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบด้วย