นายกฯ เผย หารือภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ในจีนประสบความสำเร็จ มั่นใจมาขยายลงทุนเพิ่มในไทย เพราะเห็นจุดแข็ง-ความพร้อม ลั่นประเทศไทยเปิดแล้ว
วันนี้ (17 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นสาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์สรุปภาพรวมการหารือกับภาคเอกชนของจีน ว่า ได้มีการพูดคุยพบปะกับภาคเอกชน 5 บริษัท โดยมี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ร่วมพูดคุยด้วย โดยบริษัทแรก CITIC ซึ่งเป็นบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจภาคการเงินและอุตสาหกรรม และมีการลงทุนอยู่แล้วประเทศไทยในบางส่วน ซึ่งเขาสนใจในเรื่องของพลังงานสะอาด ซึ่งตรงกับที่ประเทศไทยมีความสนใจ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นบริษัทที่ผลิตล้อแม็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ถือเป็นความต้องการของรถไฟฟ้าด้วย ซึ่งตนได้ชี้แจงไปว่าปัจจุบันไทยมี บริษัทที่ผลิตรถอีวี จากประเทศจีนถึง 4 ราย และอีก 2 รายกำลังรอที่จะตามเข้ามา ดังนั้น ถ้าหากเขาตั้งโรงงานผลิตล้อแม็กที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ก็เป็นการประกันได้ว่าเขาจะมีธุรกิจต่อเนื่องได้ ซึ่งเขารับปากพูดคุยและจะดูต่อ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากนั้นได้พบปะพูดคุยกับบริษัท CRRC Group ซึ่งเขามีเป้าประสงค์ที่การผลิตรถไฟฟ้า และ เชี่ยวชาญในเรื่องระบบรางมากที่สุดรายหนึ่งในโลก และเขาขายหัวรถจักรให้กับประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ธุรกิจส่วนใหญ่นั้นอยู่ในประเทศจีน เนื่องจากมีความต้องการรถไฟฟ้าความเร็วสูง แต่เขาเห็นธุรกิจในการเติบโตในการส่งออกสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในต่างประเทศ เขาจึงหาช่องทางที่จะมาสร้างโรงงานผลิตรถไฟฟ้าที่ไทย ซึ่งตนก็แจ้งไปว่าเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับที่ตนเดินทางมาที่จีนที่มาดูเรื่องข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (One Belt One Road) ซึ่งจะเป็นการทำเรื่องโลจิสติกส์ รถไฟความเร็วสูง ที่จะมาจากจีน ลาว และมาถึงประเทศไทย ซึ่งหากเขาสามารถมาสร้างโรงงานผลิตหัวรถจักรหรือขบวนรถไฟได้ที่ไทย ก็จะเป็นจุดส่งออกต่อไปให้ทั่วโลก รวมทั้งตนได้แจ้งให้เขาทราบว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ได้อนุมัติให้มีการศึกษาการทำแลนด์บริดจ์ ซึ่งจะเป็นจุดต่อสำคัญ ในแง่ของโลจิสติกส์ที่จะเป็นท่าเรือในการขนถ่ายสินค้าไปที่อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งเขามีท่าทีที่สนใจมากขึ้น เพราะการมีแค่ one Belt one Road ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด แต่การที่เราจะมีแลนด์บริดจ์ขึ้นมา ทำให้เขามีความสนใจมากขึ้นอีก
นายเศรษฐา กล่าวว่า บริษัทที่ 3 บริษัท Ping An Group บริษัทด้านประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีธุรกิจทางด้านธนาคารด้วย มีเทคโนโลยี AI และมีธุรกิจเล็กๆ ในเมืองไทยอยู่ในปัจจุบัน CEO ของเขาเคยมาเมืองไทยตั้งแต่ปี 1990 มาเที่ยวและมีความประทับใจก่อนที่จะเดินทางไปฮ่องกงเสียอีก แต่การลงทุนยังน้อยอยู่ ตนจึงได้พูดติดตลกไปว่ามาเมืองไทยตั้งนานแล้วแต่ทำไมลงทุนน้อยจัง รู้สึกน้อยใจอยู่บ้างว่ามาเมืองไทยแต่ทำไมยังลงทุนน้อยอยู่ จึงพยายามหาโอกาสให้เขาเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะการลงทุนด้านประกันชีวิตของเรายังมีช่องว่างในการเติบโตอีกเยอะ ลองให้เขามาดูว่าจะสามารถซื้อบริษัทในประเทศไทยได้หรือไม่ เป็นลักษณะการเขย่งก้าวกระโดดในแง่การเจริญเติบโตได้ โดยบริษัทมีความประสงค์ที่จะทำเกี่ยวกับเรื่องยาและสุขภาพด้วย เพราะปัจจุบันประเทศจีนมีปัญหาในเรื่องของสังคมสูงวัยซึ่งเหมือนกับประเทศไทย ซึ่งเขาก็รับปากว่าจะช่วยดูว่าจะมาลงทุนได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ปัจจุบันเขามีการลงทุนกับภาคเอกชนบ้างแล้วแต่ยังไม่ใหญ่พอ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากนั้นได้พบกับบริษัท Xiaomi ซึ่งเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่ง มีธุรกิจสมาร์ทโฟนอยู่ในลำดับ 1-3 และมีการตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคนี้ที่ประเทศไทยด้วย แต่ยังไม่มีฐานผลิต หน้าที่ของตนคือพยายามให้เขาติดต่อเข้ามาเพื่อสร้างฐานการผลิต เพราะตนได้ยืนยันไปว่า เรื่องโลจิสติกส์การขนถ่ายสินค้าของเราออกไปทั่วโลก อนาคตของเราจะดีมาก One Belt One Road และจะมีเรื่องของแลนด์บริดจ์ ในอนาคตด้วย จึงอยากให้เขามาพิจารณาตั้งโรงงานทั้งการผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งเขายินดีที่จะศึกษาแต่ระยะสั้นยังมีปัญหาในเรื่องการขอใบอนุญาตและเรื่องเกี่ยวกับการออกใบ มอก. และ อย. รวมทั้ง กสทช. ซึ่งเขาฝากให้ตนช่วยผลักดันในเรื่องดังกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า และสุดท้ายบริษัทที่ตนได้พบบริษัท Alibaba International Digital Commerce Group ซึ่งเป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีสำนักงานอยู่ในไทยแล้วผ่านบริษัท Lazada มีการซื้อขายในระดับที่สูงมาก มีการนำสินค้าจากทั่วโลกเข้ามาขาย แต่ตนก็ได้ฝากว่าจุดสำคัญที่สุดจุดหนึ่งอยากให้เขาเป็นตลาดซื้อขายบนออนไลน์ เอาสินค้าไทยที่เป็นเอสเอ็มอีกระจายขายทั่วโลกให้มากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย ซึ่งเขารับปากว่าจะดูแลให้ นอกจากนี้เขายังมีธุรกิจในเรื่องของออนไลน์เกี่ยวกับเรื่องของการท่องเที่ยวโดยมีแพลตฟอร์มที่ชื่อ Fliggy หรือหมูบิน ที่เป็นแพลตฟอร์มท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดอันหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันส่งนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยประมาณร้อยละ 30 ซึ่งถือว่าเยอะมาก ปัจจุบันมีสำนักงานย่อยแล้วที่เมืองไทยโดยมีพนักงาน 3-4 คน ซึ่งได้มีการแนะนำให้เราทำในเรื่องของความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวจีนทั้งเรื่องการออนไลน์ต่อตรงกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ซึ่งตนได้ระบุว่าจะให้เจ้าหน้าที่ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวฯไปติดต่อและพัฒนาระบบที่จะเชื่อมต่อความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวจีนด้วย
“เข้าใจว่า จากการพบปะพูดคุยทั้ง 5 บริษัท ประสบความสำเร็จดี และเข้าใจในเจตนารมณ์ของประเทศไทยดีขึ้น ว่า การที่เรามา One Belt One Road นี้ เพื่อชี้แจงในเรื่องของโลจิสติกส์ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศไทยในอนาคต รวมทั้งได้มีโอกาสพูดคุยแผนอนาคตที่จะขยายในเรื่องของแลนด์บริดจ์ รวมทั้งจุดโน้มน้าวที่จะให้เขาเข้ามาลงทุน โดยมีมาตรการทางด้านภาษีมาสนับสนุนด้วย ซึ่งทุกคนดีใจและกระตือรือร้นที่จะเข้ามาทำธุรกิจมากขึ้น เพราะประเทศไทยได้เปิดแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว