เมืองไทย 360 องศา
ข่าวความขัดแย้งรุนแรงระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ถือว่าได้สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านพอสมควร เพราะไม่นึกว่าทั้งคู่จะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกัน หากเป็นความขัดแย้งกันจริง มันก็สะท้อนให้เห็นว่า “นิสัยดั้งเดิม” ของนายทักษิณ ไม่ได้เปลี่ยนเลยจริงๆ
ตามรายงานข่าวระบุว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดแบบใหญ่โต ว่า “ผมเป็นคนกวนโอ๊ย ทั้งพ่อทั้งลูก เลยไม่ให้ตำแหน่ง ว่า นายทักษิณ เข้าใจผิด ผมไม่ได้ร่วมรัฐบาลกับคุณ ผมมีความสุข พูดอะไรระมัดระวังบ้าง คุณใหญ่โตได้ในพรรคของคุณ นายทักษิณไล่ผมออกสิ นึกถึงแก้คดี 8 คดี ให้คุณแล้ว ผมคิดว่า นายทักษิณ จะเปลี่ยนนิสัย แล้วเวลาใช้คำพูดถึงตน อย่าเอ่ยมือเอ่ยเท้า เพราะไม่สุภาพ และผมก็มีมือมีเท้าที่จะเอ่ยถึงเหมือนกัน ผมจะหันหลังให้นายทักษิณตลอดชีวิต”
“ที่พูดมาทั้งหมด ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต ที่ผ่านมา ผมไม่ได้สนิทกับครอบครัวนายทักษิณ ผมสนิทเพียงนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เท่านั้น แต่หลังจากนี้ คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก มันสายเกินไปแล้ว” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวจากคนรอบข้างและคนใกล้ชิดแล้ว ก็น่าเชื่อว่า ทั้งคู่น่าจะขัดแย้งกันจริง เริ่มจาก นายวัน อยู่บำรุง ลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.ได้โพสต์ข้อความออกมาต่อเนื่อง ซึ่งทั้งเนื้อหาและคำพูดที่แสดงออกมา มันก็ทำให้เห็นชัดว่า ไม่พอใจ และไม่มีความสุขกับพรรคเพื่อไทย ในเวลานี้
ล่าสุด วันที่ 5 ตุลาคม เขาโพสต์ข้อความเป็นเนื้อเพลงผ่านเฟซบุ๊กว่า... เมื่อวันที่ชีวิตเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเราไม่ทันได้ตระเตรียม...หัวใจ และหลังจากนั้น นายวัน คอมเมนต์ อีกว่า ตระกูล “อยู่บำรุง” ประจบสอพลอใครไม่เป็น
จากท่าทีและคำพูดดังกล่าว ก็น่าจะชัดเจนว่า น่าจะเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงแบบที่ต้อง “หันหลัง” ให้จริงๆ และหากไม่รุนแรงจริงๆ ก็เชื่อว่า ทางฝ่าย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คงไม่มีอารมณ์เดือดดาล จนต้องตอบโต้กลับไปแบบ “ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ” กันแบบนี้
หากจะว่าไปแล้ว สำหรับคอการเมืองที่ติดตามกันมานาน ย่อมรับรู้กันอยู่แล้วว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้เข้ามาร่วมในเครือข่ายของ นายทักษิณ ชินวัตร มาตั้งแต่ยุคพรรคพลังประชาชน ในยุคที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และเขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในช่วงนั้น ถือว่า ร.ต.อ.เฉลิม “ขึ้นหม้อ” มาก เพราะการได้เป็น “มท.1” ของเขาคราวนั้น ถือว่าเป็นยอดปรารถนาเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้น เขาก็ถูกโยกย้ายไปอีกหลายตำแหน่งในเวลาต่อมา ทั้ง รองนายกฯ รมว.สาธารณสุข หรือแม้แต่นั่งเก้าอี้รมว.แรงงาน ตามที่ นายวัน อยู่บำรุง ได้เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาในช่วงที่เข้ามาร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่พรรคพลังประชาชน เรื่อยมาถึงพรรคเพื่อไทยเวลานี้ โดยที่เขายังเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขณะที่นายวัน กลายเป็น ส.ส.สอบตก ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
แน่นอนว่า ในเบื้องลึกจริงๆ นั้น เชื่อว่า มีน้อยคนที่รู้ แต่อาจมีเรื่องตำแหน่งเก้าอี้รัฐมนตรีด้วยหรือเปล่า เพราะในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ในปัจจุบัน กลับไม่มีชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปรากฏอยู่เลย ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ไม่มีบทบาทอะไรเลย จนสังคมเริ่มลืมชื่อของเขาไปแล้ว หากไม่มีข่าวความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้นก็เชื่อว่าทุกคนคงลืมไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เริ่มมีการรายงานตัว ส.ส.ที่สภา และกำลังมีการจัดตั้งรัฐบาลผสม และกำลังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวที่ว่าพรรคเพื่อไทย กำลังจะฉีกเอ็มโอยูกับพรรคก้าวไกล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ในเวลานั้นเพิ่งมาเปิดตัวก็ได้เปิดฉากโจมตีพรรคก้าวไกล ในทำนองว่า “ไม่เห็นหัวคนรุ่นเก่า” อะไรประมาณนั้น ตอนนั้นมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เมื่อเขาออกตัวแบบนี้ ก็คงต้องมีตำแหน่งติดมือมาบ้าง
แต่ที่ผิดสังเกต ก็คือ ในช่วงของการโหวตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 22 สิงหาคม กลับไม่มีชื่อของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โหวตให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะเรียกว่าเป็นคนเดียวใน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้ติดตามถามไถ่กันมากนัก เนื่องจากอาจเป็นเพราะขัดข้องเรื่องปัญหาสุขภาพอะไร หรือเปล่า ก็มองข้ามไป และเงียบไปนาน จนมีข่าวขัดแย้งรุนแรงดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากเนื้อข่าวที่ว่านั้นมันก็ย่อมฟันธงได้เลยว่าต้องมีเรื่อง “ตำแหน่ง” เข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน ส่วนจะเป็นตำแหน่งอะไรนั้น ไม่อาจทราบได้ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา ถือว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีความใกล้ชิดกับนายทักษิณ ชินวัตร เรียกว่าสามารถเดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ขณะที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศอยู่หลายครั้ง และมีภาพปรากฏยืนยันให้เห็นบ่อยๆ
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ทางฟากฝั่ง นายทักษิณ บ้าง หากรายงานข่าวที่ว่าเป็นเรื่องจริง มันก็สามารถสะท้อนตัวตนของเขาได้อีกครั้ง นั่นคือเป็นคน “ปากไว” และที่สำคัญ ยังเป็นการยืนยันได้อีกว่าเขาไม่ได้จริงจังกับใคร ทุกอย่างคบกัน “ด้วยผลประโยชน์” ในสถานการณ์หนึ่ง หรือในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หากสถานการณ์เปลี่ยนไป หรือคนนั้น “หมดประโยชน์” ก็ย่อมถูกสลัดทิ้งแบบไม่ไยดี
ในช่วงกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาได้เกิดเรื่องราวกับ นายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนที่อยู่รอบตัวเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงมากมายที่ต้องติดคุก จากการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวต่อสู้ให้กับเขา ต้องติดคุกติดตะราง แต่ที่ผ่านมากลับได้ยินแต่เสียงโอดโอยว่า “ถูกละทิ้ง” ไม่สนใจไยดี
ภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนที่มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อย ก็คือ กรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ที่เวลานี้ตัดขาดจาก นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย มีการเปิดเผยจากปากของ นายจตุพร ว่า ถูกดูถูกดูแคลน ในเรื่องรับเงินรับทอง จากการไปช่วย นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ หาเสียงตอนสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ แข่งกับผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เมื่อหลายปีก่อน และนำมาสู่การแฉรายวัน จากนายจตุพร จนทำให้หลายคนได้รู้แบ็กกราวด์และตอกย้ำถึงอดีตและเบื้องหลังของอีกฝ่ายว่าเป็นแบบไหน
ดังนั้น เมื่อมาพิจารณากรณีของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ “ตัดขาดตลอดชีวิต” กับ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง และที่สำคัญ ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกัน เป็นการสะท้อนมุมกลับให้เห็นว่า อีกฝ่าย “หมดประโยชน์” หมดราคาในทางการเมืองแล้วหรือเปล่า !!