เมืองไทย 360 องศา
สำหรับพรรคก้าวไกล ที่คิดรวบเอาไว้ทั้งเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้าน และตำแหน่งรองประธานสภาคนที่หนึ่ง โดยใช้ “แท็กติก” ทางกฎหมายแบบตื้นๆ ที่ใครก็มองออก ทำให้หลายคนมองว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” นั่นคือ เสียเครดิต กลายเป็นพรรคการเมือง “น้ำเน่า” เหมือนกับที่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามพรรคอื่นๆ ไปทั่ว
ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคเพื่อไทย นาทีนี้ก็ย่อมได้โอกาสทองที่ต้องตามถล่มไล่ขยี้แบบไม่ยอมให้เรื่องจบง่ายๆ เพราะอย่างที่รู้กัน ก็คือ ทั้งสองพรรคเป็นคู่แข่งกันอย่างชัดเจนในเส้นทางการเมือง เมื่ออีกฝ่าย “ล้มมาเข้าเท้า” มันก็ต้องกระหน่ำให้อ่วมมากที่สุด ที่สำคัญ เป้าหมายคือ ให้คายเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่เคยได้รับการโหวตเมื่อครั้งยังสังกัดพรรคก้าวไกล และเคยเป็นพันธมิตรกัน แต่เมื่อวันนี้พ้นจากสมาชิกพรรคแล้ว ก็สมควรลุกจากเก้าอี้ตัวนั้นด้วย
ก่อนหน้านั้น นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานวิปรัฐบาล เผยว่า ในการประชุมสภา สัปดาห์นี้ วิปรัฐบาลเตรียมเสนอญัตติด่วน ต่อกรณีความเหมาะสมต่อการดำรงตำแหน่งของ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ซึ่งมติของพรรคก้าวไกลขับพ้นจากสมาชิกพรรค
เขาให้เหตุผลว่า เนื่องจากตน และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะฝ่ายกฎหมาย พบว่า ในกรณีที่พรรคก้าวไกลขับ นายปดิพัทธ์ นั้นไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคก้าวไกล ข้อ 64(5) ที่ระบุเหตุของการขับสมาชิกให้พ้นพรรค คือ ผิดวินัย ผิดจรรยาบรรณ หรือ เหตุอื่นที่ร้ายแรง ซึ่งกรณีของญัตติด่วนนั้น ไม่มีเจตนาร้ายส่วนตัว เพราะตนเป็นคนที่เลือกนายปดิพัทธ์ ที่เคยอยู่กับพรรคก้าวไกล ให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภา คนที่หนึ่ง ส่วนผลของการเสนอญัตติด่วนจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการอภิปรายของที่ประชุม อีกทั้งตนจะเสนอในที่ประชุมวิปรัฐบาลด้วยเช่นกันว่าจะให้เป็นอย่างไร
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวจะถือว่าใช้เวทีสภาแทรกแซงกิจการของพรรคก้าวไกล หรือไม่ นายอดิศร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องภายในของพรรคก้าวไกล เพราะข้อบังคับพรรคการเมืองนั้นเผยแพร่โดยทั่วไป และกรณีดังกล่าวไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทย ต้องการตำแหน่งรองประธานสภา คนที่หนึ่ง แต่เป็นประเด็นของความสง่างามในการปฏิบัติหน้าที่ของรองประธานสภา คนที่หนึ่ง ที่ถูกพรรคต้นสังกัดขับออกจากสมาชิกพรรค
“ที่อ้างว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ผมมองว่าไม่ถูกต้อง เพราะการขับสมาชิกพรรคไม่เป็นไปตามข้อบังคับพรรคที่ระบุไว้ใน 3 ข้อ ทั้งนี้ ที่อ้างว่า นายปดิพัทธ์ ขัดมติพรรค เพราะต้องการนั่งรองประธานสภา คนที่หนึ่ง คนแยกแยะได้ว่าคือการละคร คือ หมอลำ ไม่ใช่เรื่องจริงเหมือนตอนที่ขับ ส.ส.ที่เป็นงูเห่า ทั้งนี้ คนที่ถูกพรรคขับออก ถือว่าถูกประหารทางการเมือง และการทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมของรองประธานสภา คนที่หนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่เคารพได้ยาก” นายอดิศร กล่าว
นายอดิศร กล่าวว่า ข้อบังคับของพรรคการเมืองระบุไว้ถึงเหตุผลที่จะขับสมาชิกออกจากพรรคการเมือง ซึ่งรายละเอียดที่เกิดขึ้นนั้น ทุกคนมองออก ว่า ไม่มีเจตนาขับออกจริง ซึ่ง นายปดิพัทธ์ ต้องชี้แจง และในการอภิปรายญัตติด่วนที่เตรียมเสนอนั้น ตนขอพรรคก้าวไกลอย่าชี้แจงช่วยเหลือนายปดิพัทธ์ เพราะถือว่าไม่ใช่คนของพรรคก้าวไกลแล้ว
ขณะที่ฝ่ายพรรคก้าวไกล โดย น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคพรรค กล่าวตอบโต้ นายอดิศร ว่า เป้าหมายในการแสดงความคิดเห็นเอง ทุกคนคงทายไม่ยาก ว่า มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง โดยที่ออกมาอ้างว่าประชาชนเสียประโยชน์ มีการไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน คนที่เสียประโยชน์อาจจะเป็นท่านหรือเปล่ากับเรื่องนี้ โดยที่เราก็ชี้แจงชัดเจนที่สุดแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องการอะไร หมออ๋อง (นายปดิพัทธ์) ก็พูดแล้ว และตอนนี้ดิฉันคิดว่าประชาชนเข้าใจมากๆ แล้ว ก็อยากจะให้ท่านเปิดใจ อ่านแถลงการณ์ไปทำความเข้าใจอย่างตรงไปตรงมา มันเข้าใจไม่ยากต่อเรื่องนี้
นางสาวภคมน ตั้งคำถามว่า การที่ นายอดิศร พยายามแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้บ่อยๆ หรือต้องการตำแหน่งรองประธานสภาอีกตำแหน่งเลยหรือไม่ ประธานสภาก็จะเอา รองประธานสภาก็จะเอา เรื่องนี้ตนคิดว่าอยากจะให้ทำงานกันอย่างตรงไปตรงมา พรรคก้าวไกลตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว
เมื่อถามว่า มองว่า เป็นเกมการเมืองใช่หรือไม่ นางสาวภคมน ระบุว่า คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ การที่พยายามออกมาแสดงความคิดเห็นบ่อยๆ ทุกวัน หากให้คิดว่าเป็นความห่วงใย มองว่า อาจจะระแวงกันไปนิดนึงกับความห่วงใยแบบนี้ อยากให้ท่านทำความเข้าใจกับการชี้แจง เราชี้แจงอย่างชัดเจนมากๆ แล้ว ว่า เราต้องการตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน และนายปดิพัทธ์ต้องการดำเนินงานของตนเองในฐานะรองประธานสภา เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเวลาต่อมา นายอดิศร เพียงเกษ จะเปลี่ยนใจโดยเปิดเผยภายหลังการประชุมวิปรัฐบาลวันเดียวกันว่า จากการหารือในที่ประชุมวิปรัฐบาล เห็นว่า ไม่ควรนำเรื่องนี้มาพูดคุยที่ประชุมสภา เพราะอาจโดนครหาเรื่องเสียงข้างมากลากไป ฉะนั้น จึงมีมติว่า ฝ่ายรัฐบาล จะใช้ช่องทางยื่นไปยังองค์กรอิสระแทน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเบื้องต้น การขับนายปดิพัทธ์ ไม่เป็นไปตามข้อบังคับของพรรคก้าวไกล ข้อ 64(5) ที่กำหนดว่าจะขับออกได้ก็ต่อเมื่อทำผิดวินัยร้ายแรง หรือผิดจรรยาบรรณ หรือมีเหตุการณ์ร้ายแรงอื่น ซึ่งก็ไม่ได้เข้าเงื่อนไขใด
ส่วนจะยื่น ป.ป.ช. ในเรื่องจริยธรรม หรือไม่ นั้น ขอศึกษาข้อกฎหมายก่อน แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นประเด็นนี้ โดยจะให้นายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นผู้ศึกษา รวมถึงเรื่องนิติกรรมอำพราง ด้วยเช่นกันก็ต้องไปศึกษาข้อกฎหมาย เพราะทำจากเรื่องที่ไม่ผิดให้เป็นเรื่องผิด ส่วนการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นั้น ต้องดูข้อกฎหมายก่อน โดยจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว หากโฟกัสไปที่พรรคเพื่อไทย มันก็ย่อมมองออกว่า นี่คือเกม “ไล่บี้เอาคืน” พรรคก้าวไกล ในอารมณ์แบบ “หมั่นไส้” มานานแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลก็เจอถล่มเข้ามาทุกทาง มาวันนี้เมื่อ “ลูกเข้าเท้า” มันก็ต้องเตะอัดคืนไปให้เต็มที่ อะไรประมาณนั้น และที่สำคัญ ทำให้พรรคก้าวไกลพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะกรณีขับ “รองอ๋อง” ออกจากพรรคนั้น ใครก็มองออกว่า นั่นคือ “ก้าวไกลการละคร” ไม่ต้องแก้ตัวอ้างประเทศชาติและผลประโยชน์ประชาชนให้เป็นที่ขบขันเปล่าๆ เนื่องจากแท็กติกกฎหมายน้ำเน่าโบราณแบบนี้ มันดูได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าพรรคที่ทำแบบนี้มันคือพรรคก้าวไกลต่างหาก เพราะที่ผ่านมาเป็นพรรคที่มักด้อยค่าการเมืองพรรคอื่นในแบบว่าล้าหลัง การเมืองยุคเก่า อะไรประมาณนั้น แต่เอาเข้าจริงกลับมีพฤติกรรมยิ่งกว่าเสียอีก
ขณะเดียวกัน หากมองกันในการเมืองในภาพรวมๆ แล้ว นาทีนี้ถือว่า ทั้งสองพรรค คือ เพื่อไทย กับก้าวไกล ได้เปิดศึกกันอย่างเต็มตัว และในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นแบบฝ่ายรัฐบาลแบบฝ่ายค้าน และในสภาด้วยกัน เพราะหากสังเกตจะเห็นว่าที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล ก็เริ่มโหมโจมตีวิพากษ์วิจารณ์นโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย หนักขึ้นเรื่อยๆ ที่เห็นชัดก็คือ นโยบาย “แจกเงินดิจิทัล” ที่เป็น “เรือธง” ในเวลานี้ โดยแกนนำคนสำคัญที่ดาหน้าออกมาเริ่มจาก น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ที่เปิดเผยเรื่องแหล่งที่มาของเงินจำนวนมหาศาล ที่ต้องใช้งบมากกว่า 5.6 แสนล้านบาท ว่า ส่วนหลักน่าจะเป็นการกู้ยืมมาจากธนาคารออมสิน ถัดมาก็เป็น นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่ ก็ออกมาวิจารณ์นโยบายดังกล่าวในเรื่องความเสี่ยง และวินัยการคลัง เป็นต้น
นี่ยังไม่นับเรื่องการ “ตอดเล็กตอดน้อย” เช่น การตั้งกระทู้ถามสด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระหว่างที่เดินทางเยือนกัมพูชา ทำให้เกิดการตอบโต้กันไปมาร้อนแรงไม่น้อย
เมื่อวกมาที่กรณีของ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ที่ถูกพรรคก้าวไกลขับออกจากพรรค ในความหมายที่เข้าใจกันว่า ต้องการทั้งสองเก้าอี้ คือ รองประธานสภา กับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่พลาดเก้าอี้ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประธานสภาผู้แทนฯ เนื่องจากพวกเขาก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการในการ “กอดเก้าอี้” เอาไว้แบบนี้ ในทางการเมืองมันเสียหาย เสียความรู้สึกกันไปพอสมควร
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นสัญญาณเตือนพรรคก้าวไกลเช่นกันว่า ในเส้นทางการเมืองข้างหน้า มันคือ “ของจริง” ที่พรรคก้าวไกล จะต้องเดินนำหน้าด้วยตัวเอง เหมือนกับถูกบังคับให้ต้องออกมากลางแจ้ง ถูกตรวจสอบจากสังคมรอบข้างทุกเม็ด ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่มาในแบบฉาบฉวย หรือแอบอยู่ข้างหลังเหมือนกับทำกิจกรรมนักศึกษาที่หลายอย่างสามารถหรี่ตามองข้ามไปได้ แต่ในสนามจริงย่อมถูกย้อนศรได้ตลอดเวลาเช่นกัน เหมือนกับที่กำลังเจออยู่และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ !!