“อดีตรองอธิการ มธ.” ชำแหละ “ชลน่าน” ลาออกตามสัญญา แต่ได้เป็น “รมว.สธ.” ทนายถุงขนมถูกจำคุก 6 เดือน เป็น “รมต.” สะท้อน หน.เพื่อไทย ตัวจริง ผู้มีอำนาจเหนือ “รบ.เศรษฐา” “ดร.อานนท์” ซัด “หยก” ใช้สิทธิที่ตนไม่มี ไปละเมิดผู้อื่น
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (31 ส.ค. 66) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล ม.ธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้วยเหตุผลว่า เพื่อรักษาสัจจะ จึงทำตามที่เคยประกาศไว้หลายครั้ง ว่า หากพรรคเพื่อไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ตัวเองจะลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วทำไมไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ชลน่าน ตอบว่า “เพราะผมไม่เคยประกาศเกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรี”
นี่เรียกว่าเป็น DNA ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ก็ไม่ทราบ
อย่างที่ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิจารณ์ว่า ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นเพียงตำแหน่งสมมติ เพราะตั้งแต่พรรคไทยรักไทย มาเป็นพรรคพลังประชาชน มาเป็นพรรคเพื่อไทย ยังไม่เคยมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเลย หัวหน้าพรรคทุกคนที่ผ่านมา ตั้งแต่คุณสมัคร สุนทรเวช คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์ คุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จนถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ทั้งหมดล้วนเป็นหัวหน้าพรรคที่สมมติขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้น ลักษณะเด่นของชาวพรรคเพื่อไทย นอกจากจะมีลักษณะแบบ นพ.ชลน่าน ที่ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ยังต้องมีลักษณะที่ต้องยอมเชื่อฟังหัวหน้าพรรคตัวจริงทุกประการด้วย
ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนที่น่าจะมีอุดมการณ์หลายๆ คนในพรรคเพื่อไทย ยังคงทนอยู่กับวัฒนธรรมแบบนี้ของพรรคนี้ได้อย่างยาวนาน หรือเป็นเพราะผลประโยชน์ด้านต่างๆ ที่เคยได้รับมา หรือหวังจะได้รับในอนาคต
กรณีของ คุณพิชิต ชื่นบาน ทนายความที่ถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน ด้วยความผิด คือ ละเมิดอำนาจศาล แต่ใครก็รู้ว่า ความผิดจริงๆ ก็คือ การให้คนนำถุงขนมที่มีเงิน 2 ล้านบาท ไปทิ้งไว้ที่ศาล มีชื่อจะได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรณีคุณเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช มีชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ก็เชื่อได้เลยว่า จะเป็นคำสั่งของคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากหัวหน้าพรรคตัวจริง เพื่อเป็นการตอบแทนและชดเชยให้บริวาร ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่า คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็ต้องเชื่อฟังเช่นกัน เหมือนๆ กับนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคนี้ทุกคนที่ผ่านมา
อย่าลืมว่า คุณเศรษฐา เอง ก็ประกาศกร้าวว่า ไม่เอาลุง ไม่เอาเผด็จการ แต่แล้วก็ต้องเข้าพบขอคำแนะนำจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรักษาการ ยกมือไว้อย่างนอบน้อม เดินตามกันชี้นกชมไม้ที่ทำเนียบรัฐบาล เสมือนว่าไม่มีปัญหาอะไรกันมาก่อน
นี่ขนาดป่วยหนักจนมีอาการน่าเป็นห่วง ก็ยังสั่งการได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต่อไปเมื่อรัฐบาลนี้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ใครจะเป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือนายกรัฐมนตรี
ขอให้ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี ทำการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจริงจัง และระมัดระวังอย่างยิ่งยวด มิฉะนั้น จะเป็นการทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หากเสนอชื่อผู้ที่ขาดคุณสมบัติเพื่อทรงพิจารณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี
ไม่เข้าใจว่า ที่มีผู้ยื่นร้องต่อ กกต.กันหลายคนว่า พรรคเพื่อไทยถูกครอบงำโดยบุคคลภายนอก ซึ่งมีโทษถึงยุบพรรค จึงไม่มีอะไรคืบหน้า ยื่นแล้วเงียบสนิทกันไปหมด หรือยังมีผู้มีอิทธิพลเหนือ กกต.คอยกำกับอยู่ ก็ไม่ทราบ ว่าจะให้ดำเนินการเมื่อใด ในจังหวะไหน เพราะเรื่องนี้แทบจะไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรมากกว่านี้แล้ว ทุกคนที่ติดตามการเมืองล้วนทราบดีว่า การครอบงำนั้นเป็นเรื่องจริง
น่าเชื่อได้ว่า ที่เรียกว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ยกเว้นพรรคก้าวไกล กับที่เรียกว่าฝ่ายอนุรักษนิยม ขณะนี้ได้หลอมรวมจนเป็นพวกเดียวกันแล้ว บางคนเชื่อว่า เขาหลอมรวมกันมานานแล้วเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่า รัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะกระแสที่ประชาชนไม่พอใจเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อการปฏิบัติต่อคุณทักษิณของรัฐบาลรักษาการ และคอยจ้องติดตามว่ารัฐบาลชุดใหม่จะปฏิบัติอย่างไร หากยังเหมือนเดิม ม็อบจะจุดติด ดีไม่ดีอาจมีด้อมส้มเป็นแนวร่วมด้วยก็ได้
มีคำทำนายว่า ปลายเดือนตุลาคม ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่ทราบว่าก่อนจะดีขึ้นจะมีความวุ่นวายจนถึงขั้นเลือดตกยางหรือไม่ ขออย่าให้ถึงขั้นนั้น เพราะเดี๋ยวนี้เราเลิกเชื่ออย่างที่เคยเชื่อกันแล้วว่า “สมัยนี้ไม่มีใครทำรัฐประหารกันแล้ว”
ขณะเดียวกัน ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ว่า
“หยกจะใช้สิทธิที่ตนไม่มี แล้วไปละเมิดสิทธิผู้อื่น “หยก ทะลุวัง” สร้างปัญหา เพื่อนหยกต้องอุ้มออกไปไกลๆ”
ทั้งนี้ วันนี้เวลา 05.30 น. ณ โรงเรียนเตรียมพัฒน์ หยก ต้องการไปขึ้นรถบัสไปค่ายเรียนภาษาจีนที่นครปฐม แต่ทางครูไม่ให้หยกไป เพราะหยกไม่มีสถานภาพนักเรียนและไม่ได้จ่ายค่าเทอม (เพราะคืนค่าเทอมไปแล้ว) จึงพยายามให้หยกลงจากรถ เพื่อนหยกจึงช่วยกันอุ้มลงจากรถ
ต่อมา หยกนั่งขวางรถบัส ทางเพื่อนหยกจึงมาอุ้มออกไปอีกครั้ง รถบัสเปลี่ยนเส้นทางเพื่อไปออกด้านหลังแทน หยกจึงนอนขวางล้อรถ เกิดการชุลมุน รถบัสจึงนำนักเรียนลงจากรถ และถอยเข้าโรงเรียนแล้วออกทางประตูหน้าแทน