ข่าวปนคน คนปนข่าว
**"บก.ฟ้าเดียวกัน-สมศักดิ์เจียม" ใส่สีตีไข่ แซะ"สนธิ" ไปเอี่ยวคนใกล้ชิด "ท่านอ้น" โถ..หิวแสงจนเลอะเทอะ!
ฝนตกขี้หมูไหล เขาว่าเป็นช่วงเวลาที่"คนอะไร" มารวมกัน
เริ่มจาก "ธนาพล อิ๋วสกุล" บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน โพสต์เฟซบุ๊กไปเมื่อวันก่อน ด้วยข้อความว่า "คนที่ใกล้ชิดกับคุณอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์ ไม่ว่าจะเป็น ไพลิน คำศิริ ปราโมทย์ นาครทรรพ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ล้วนแต่มีความเกี่ยวพันกับพันธมิตรฯ และกปปส. ทั้งนั้น
รวมทั้ง 3 คนที่กล่าวมา เคยมีความสัมพันธ์กับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ด้วยโพสต์นี้พอแพร่ออกไป "สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" อดีตอาจารย์ธรรมศาสตร์ ผู้ลี้ภัยการเมืองอยู่ที่ฝรั่งเศส ที่พึ่งถูกศาลปกครองสูงสุด ตัดสินว่า คำสั่ง "ไล่ออก" จากราชการของมธ. ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็เข้ามาแสดงความเห็นเออออห่อหมก ว่า... "จริง ขอคิดดูก่อนว่ามีอะไรไหม"
ระหว่าง “ธนาพล” กับ “สมศักดิ์เจียม” ก็ต้องบอกว่า 2 คน 2 วัย แต่ใจมืดบอดพอกัน โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันฯ ที่มักแสดงความเห็น "อคติ" ไหลไปทางเดียวกัน
เมื่อปรากฏการณ์ "ท่านอ้น" วาบเข้ามาเป็นกระแสสังคม ทั้งคู่ ธนาพลและสมศักดิ์เจียม ต่างหิวแสง ไม่รีรอโพสต์นู่น นี่ นั่น อวดรู้อวดเก่ง หาแสงเอากับชาวโซเชียลฯ ที่ไม่รู้เรื่องราว
โดย ถ้าไม่จับแพะชนแกะ ก็เป็นเรื่องเลอะเทอะ เชื่ออะไรไม่ได้ โดนตอกกลับด้วย "ความจริง" จนหงายเงิบ ถี่ๆในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
กรณีของ “ธนาพล” พูดถึง คนใกล้ชิด “ท่านอ้น” และพยายามโยงเข้ามาถึง "สนธิ" ก็เป็นไปในท่วงทำนองเช่นเดียวกัน
ใส่สีตีไข่ โดยไม่จริง!
โดยเฉพาะ "ไพลิน คำศิริ" นั้น วันนี้ทั้งตัวและหัวใจเป็น กกปส. ไม่ถือเป็นพันธมิตรฯ และวันนี้ก็ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับสนธิ
ต้องถามว่า “ธนาพล” ต้องการสื่ออะไร? ที่ระบุคนใกล้ตัว “ท่านอ้น” ทั้งสามเคยสัมพันธ์กับสนธิเช่นนั้น
ที่แน่ๆไม่ใช่เรื่องที่มีเจตนาดีแน่นอน
ขณะที่ "สมศักดิ์ เจียม" ก็เป็นอย่าง
ดังที่ "ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์" นักวิชาการ "ตัวตึง" ประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ที่แชร์โพสต์ "สมศักดิ์เจียม" ที่แซะตัวเองว่าเลอะเทอะ กรณีโพสต์ว่ามีกลุ่ม "รอยัลลิสต์ก้าวหน้า"
“ปวิน” ฟาดกลับระบุข้อความว่า "คนที่เลอะเทอะ คือมึงค่ะ ที่บอกว่าเค้าไปนัดกินข้าวกับคนนั้น คนนี้ ถูกเจ้าตัวแหกมากี่รอบคะ? อ้อ สเตตัสนี้ เขียนเองหรือให้แอดมินเขียน ?"
งานนี้ถ้าไม่บอกว่า ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกัน ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี ชิมิ
** พรรคร่วมไม่ยอมตีเช็คเปล่า บอกต้องเคลียร์เก้าอี้รัฐมนตรีก่อนโหวตนายกฯ
พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เคยตั้งโต๊ะแถลงอย่างเป็นทางการว่า ตอนนี้มีพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว 9 พรรค มีเสียงรวมกันได้ 238 เสียง ซึ่งยังไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร คือ ต้องมี 251 เสียงขึ้นไป และในการโหวตนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภา ต้องมีอย่างต่ำ 376 เสียง
ชัดเจนว่าหากจะโหวตนายกฯให้ผ่าน ก็ต้องพึ่งเสียงส.ว. เพราะพรรคก้าวไกล ที่ถูกดีดไปเป็นฝ่ายค้าน ยังแค้นฝังหุ่น เจรจาอย่างไร ก็ไม่มีทางมาร่วมโหวตให้แน่
ในสมการตั้งรัฐบาล จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดึง “พรรคสองลุง” คือ พรรคพลังประชารัฐ (40 เสียง) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (36 เสียง) เข้ามาร่วม แล้ว ส.ว.จะตามมาโหวตให้เอง
สอดคล้องกับที่ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย บอกว่าถ้าจะให้รัฐบาลมีเถียรภาพ ต้องมีเสียงส.ส.เกิน 300 เสียง
ความจริงแล้ว“พรรคสองลุง” ส่งสัญญาณว่าจะมาร่วมรัฐบาลชัดเจน รอเพียงให้เพื่อไทยประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ยอมประกาศ เพราะรู้ว่าประกาศเมื่อไรก็โดนถล่มเมื่อนั้น จึงกะว่าพอถึงวันโหวตนนายกฯ ก็โหวตไปเลย หรืออาจประกาศในวันเดียวกับที่จะโหวต
แต่ก็มีบางคำพูดที่ “เศรษฐา” ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วจะจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างไร โดยมีหลักการว่า ต้องเอานโยบายมาคุยกัน ไม่ให้พรรคเดิม บริหารกระทรวงเดิม
ยิ่งมาเจอคำพูดของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รับบทเป็น “ผู้จัดการรัฐบาล” พูดถึงโผ ครม. ที่สื่อได้นำเสนอออกมาว่า พรรคไหนจะได้ดูและกระทรวงใด ว่าเป็นการวิเคราะห์กันไปเอง... พรรคเพื่อไทย ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีกับพรรคใดทั้งสิ้น ต้องรอให้การโหวตนายกฯเสร็จสิ้นก่อน ถึงตอนนั้นรายชื่อครม.ของจริง จะเกิดขึ้นหลังได้นายกฯแล้ว
เงื่อนไขที่ว่า ไม่ให้พรรคเดิม บริหารกระทรวงเดิม และจะแบ่งโควตากระทรวง วางตัวรัฐมนตรี หลังการโหวตนายกฯ ยิ่งสร้างความไม่พอใจแก่บรรดาพรรคร่วม...
อย่างเช่น “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีส.ส.10 เสียง ถึงกับออกปากว่า ...ต้องคุยกันก่อนโหวตนายกฯ ไม่น่าจะตีเช็คเปล่าก่อน ตามประเพณีที่ทำมา คือต้องพูดคุยให้ได้แนวทางที่ชัดเจน ในระดับหนึ่งก่อน ส่วนพรรคเดิมดูแลกระทรวงเดิมนั้น เป็นเรื่องปกติที่แต่ละคนที่ทำงานมา ก็มีความคุ้นเคย สามารถสานงานต่อได้ทันที ซึ่งคงต้องดูท่าทีพรรคเพื่อไทยอีกครั้งว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน จะต้องปรับเงื่อนไขหรือไม่
ช่วงนี้จึงมีกระแสกดดัน “เศรษฐา” ในเชิงว่า อาจไม่ใช่แคนดิเดตตัวจริงที่พรรคเพื่อไทยจะส่งขึ้นไปโหวต เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับภาษี เป็นเรื่องของจริยธรรม ซึ่งแรงกดดันนี้น่าจะมาจากท่าทีของ “เศรษฐา” และ “ภูมิธรรม” ในสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น
ล่าสุด “ภูมิธรรม” ต้องออกมาแก้ข่าวว่า ทุกอย่างคุยได้ด้วยเหตุผล เรื่องแบ่งกระทรวงฯ คงชัดเจนในเวลาใกล้เคียงกับการโหวตนายกฯ และมั่นใจ “เศรษฐา” ไม่ติดเงื่อนไขเรื่องจริยธรรม
ประเด็นที่ว่า “เศรษฐา” พูดถึงไม่สนับสนุนนั่งกระทรวงเดิมนั้น ก็เป็นคำถามจากสื่อฯว่า หลักการไม่ควรให้นั่งกระทรวงเดิมหรือไม่ ซึ่ง “เศรษฐา” พูดเพียงว่า หลักการดูดี เห็นชอบ
ส่วนที่หลายพรรคต้องการความชัดเจนเรื่องแบ่งกระทรวงฯ ก่อนโหวตนายกฯ ไม่ใช่บังคับให้ “ตีเช็คเปล่า” นั้น ภูมิธรรม บอกว่า ตอนนี้เรามี 238 เสียง พรรคพลังประชารัฐ บอกจะโหวตให้โดยไม่มีเงื่อนไข ก็รวมเป็น 278 เสียง เราต้องทำให้ได้ 375 เสียง และเท่าที่ฟังพรรคการเมืองอื่นๆ ทั้งประชาธิปัตย์ หรือ รวมไทยสร้างชาติ ก็พูดทางบวก ให้ใช้นโยบายเป็นแกนกลางกำหนดนโยบายทำงาน ดูใครเหมาะสม ใครเป็นหลักเป็นรอง ถ้าคุยด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติคุยได้หมด ตั้งใจว่า เมื่อเลือกนายกฯแล้ว รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานได้ในเดือนก.ย. คิดว่าจะประเด็นกระทรวงต่างๆ จะเสร็จสิ้นใกล้เคียงกับการโหวตนายกฯ ขอดูเวลาที่เหมาะสม
ขณะที่ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ก็ออกมายืนยันถึงกระแสข่าวที่ว่า พรรคเพื่อไทย ควรผลักดันให้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นมาเสนอต่อสภา โหวตเป็นนายกฯ ว่า ทางพรรคเราได้มีการพูดคุยกันแล้วว่า จะเป็น “เศรษฐา ทวีสิน” และพรรคก็พูดหลายครั้งแล้ว ดังนั้นคิดว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว
เป็นอันว่า วันนี้ชัดเจนว่า “เศรษฐา” คือแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคเพื่อไทย จะขอความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา และการจัดสรร แบ่งกระทรวง จะตกลงกันก่อนโหวตนายกฯ