“คนเพื่อไทย” มึนข่าวยอมถอย ปธ.สภา โผล่อีก ยันคณะเจรจาต้องไปยื่นคุยตามมติ กก.บห.- ส.ส. ก่อนกลับมาคุยในพรรค ด่วนสรุปเองไม่ได้ เชื่อคนปล่อยข่าวจ้องทำลายพรรค ทำถูกมองกลับไปกลับมา เสียเหลี่ยมมวยหลัก ยัน “เพื่อไทย” ต้องนั่ง ปธ.สภา ห่วง กม.ก้าวไกล หลายเรื่องปลุกขัดแย้ง
จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้ตกลงเกี่ยวกับประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย พรรคก้าวไกล จะได้ตำแหน่งประธานสภา ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ได้ตำแหน่งรองประธานสภา ทั้ง 2 ตำแหน่ง โดยมีเงื่อนไขว่า หาก 8 พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถผลักดันให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า และแคนดิเดตนายรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ พรรคก้าวไกล ก็จะยังอยู่ร่วมรัฐบาลและเปิดทางให้ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แทนนั้น
วันนี้ (30 มิ.ย.) รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ภายหลังจากที่มีกระแสข่าวดังกล่าวออกไป ภายในพรรคก็พยายามตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร และที่ประชุม ส.ส.ของพรรค ก็มีความเห็นพ้อง และมอบหมายให้คณะเจรจาของพรรค ไปยื่นความจำนงค์ในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นคนของพรรคเพื่อไทย ตามสูตร 14+1 ส่วนพรรคก้าวไกลก็จะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดังนั้นหากผลการเจรจาเป็นอย่างไรก็ต้องนำมาแจ้งที่ประชุมพรรคเพื่อรับทราบ และขอความเห็นก่อน ไม่สามารถด่วนสรุปว่าจะยกตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ให้ใครได้
“เมื่อคืนเห็น ส.ส.ของพรรคหลายคนแชร์ข่าวว่า เพื่อไทยยอมถอยประธานสภา ก็งงกันใหญ่ เพราะล่าสุดเรามอบหมายคณะเจรจาไปพูดคุยว่า เพื่อไทยขอตำแหน่งประธานสภา ได้ผลอย่างไรก็ต้องมาแจ้งกันก่อน จะมาด่วนสรุปเองเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้” ส.ส.พรรคเพื่อไทยรายหนึ่ง ระบุ
ส.ส.พรรคเพื่อไทย รายเดียวกันกล่าวด้วยว่า จริงๆ ก็มีการขอความร่วมมือไม่ให้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ แต่เมื่อข่าวออกมาแบบนี้ ก็จำเป็นที่ พรรคเพื่อไทย ต้องแสดงจุดยืนให้หนักแน่นว่า เราเห็นควรที่จะเสนอบุคคลไปทำหน้าที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยยึดหลักความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เป็นธรรม และเสมอภาคต่อกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยพูดคุยกันเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 66 ดังนั้น ในวันที่ 2 ก.ค. 66 ที่มีการนัดหมายกับ พรรคก้าวไกล เพื่อหาข้อสรุปในประเด็นนี้ คณะเจรจาของพรรคเพื่อไทยก็ต้องยืนกรานตามนี้ หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องกลับมารายงานต่อที่ประชุมพรรคในวันที่ 3 ก.ค. 66 เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
“ผู้เจรจาของเพื่อไทย ต้องยืนยันตามที่เสนอไป จะไปถึงขั้นแตกหัก หรือยอมถอย ก็ต้องมาถามกันในพรรคก่อน ไม่ใช่พูดเองเออเองว่า ยอมให้ประธานสภาฯ หรือเปลี่ยนสูตรเป็น 15+1 หรือ 13+1 อะไรก็แล้วแต่ต้องกลับมาคุยที่พรรคก่อน ข่าวแบบนี้ทำให้พรรคเสียหาย คนก็มองว่า เราเป็นมวยหลัก แต่กลับไปกลับมา บางวันไม่ยอม บางวันยอม แบบนี้ใช้ไม่ได้ เชื่อว่า คนปล่อยข่าวไม่หวังดีกับพรรคเพื่อไทยแน่” แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย กล่าว
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย กล่าวยืนยันว่า ยังเห็นว่า พรรคเพื่อไทย มีความเหมาะสมในการทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า เพราะโดยหลักการประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องเป็นกลาง เป็นคนของทุกพรรค แต่ทาง พรรคก้าวไกล กลับมองว่า ต้องการตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันกฎหมายของพรรคตัวเอง กลายเป็นว่า ไม่เป็นกลางตั้งแต่ต้น อีกทั้งร่างกฎหมายที่ พรรคก้าวไกล จะเสนอแก้ไข หรือเสนอฉบับใหม่นั้น ก็มีความน่าเป็นห่วงในหลายประเด็นที่อาจจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอีกครั้งด้วย