“พท.” เล็งเจรจาก้าวไกล ลดเงื่อนไข ปธ.สภา ก่อนวันโหวต เชื่อ ส.ส.ไม่ใช้เอกสิทธิสร้างปัญหา
วันนี้ (22 มิ.ย.) นายสุทิน คลังแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การสัมมนา ส.ส.เพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เป็นกระบวนการรับฟังความเห็น ส.ส. จะนำข้อมูลที่ได้ไปประกอบความเห็นอื่นๆ ประมวลว่าอะไรเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และพรรค เพื่อตัดสินใจ ถ้าทุกอย่างยังไม่ลงตัวอาจต้องคุยส่วนตัวกับสมาชิกที่ยังเห็นต่าง คนที่เห็นต่างถือเป็นกุศลเจตนา ด้วยความหวังดีต่อพรรค ไม่มีวาระซ่อนเร้นอื่น เท่าที่ดูคงไม่ถึงขั้นต้องเปิดฟรีโหวตในการโหวตเลือกประธานสภา แนวทางสุดโต่งเช่นนี้ คงไม่เกิดขึ้น ต้องหาวิธียืดหยุ่นเข้าหากัน อาจจะต้องไปพูดคุยด้วยหลายเหตุผลกับพรรคก้าวไกล อาจต้องโยกหรือปรับเงื่อนไขที่เคยคุยกันไว้เล็กน้อย ยังไม่รู้จะปรับอย่างไร เป็นเรี่องที่คณะเจรจาจะไปพูดคุยกัน อะไรที่มันตึงมาก อาจต้องขยับนิดหน่อยก็ลงตัวได้
เมื่อถามว่า จะถึงขั้นให้พรรคก้าวไกลยอมสละตำแหน่งประธานสภาหรือไม่ นายสุทิน ตอบว่า ขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกล ถ้าเขายืนยันหลักการเดิม แล้วเราเห็นว่าจะไปไม่ได้ ก็ต้องมาพูดคุยจะปรับลดอะไรลงได้หรือไม่ ชุดเจรจาบอกว่า มีทางลงตัวได้ ทุกอย่างจะลงตัวก่อนวันโหวตประธานสภาฯแน่นอน ในวันโหวตทุกอย่างจะลงตัวด้วยดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลายคนแสดงความเป็นห่วง หากพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ จะเกิดปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลตามมา นายสุทิน ตอบว่า เชื่อว่า ทุกคนก็คำนึงถึงเรื่องนี้ ว่า หากสิ่งที่อยากได้ ทำให้เจอทางตัน แต่ถ้าเรายืดหยุ่นเล็กน้อยก็ทำให้เดินต่อไปได้ ถ้าคุยกันแล้วน่าจะไปต่อได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรคเพื่อไทยมีมติเรื่องการโหวตประธานสภาออกมา แต่ ส.ส.ขอใช้เอกสิทธิ์ส่วนตัวในการโหวต จะทำอย่างไร นายสุทิน ตอบว่า พรรคเคารพเอกสิทธิ์สมาชิก แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ทุกคนคงใช้เอกสิทธิ์ในทางเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ประชาชน และพรรค แม้จะเป็นการลงมติลับ แต่ผลโหวตที่ออกมาต้องเป็นประโยชน์
ส่วนการจะเสนอชื่อ นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แข่งชิงประธานสภากับพรรคก้าวไกลนั้น เชื่อว่า คงไม่เกิดขึ้น คนที่ถูกเสนอชื่อเป็นผู้ใหญ่ คงมีวิธีแก้ปัญหา การจะเสนอชื่อใครเป็นประธานสภา ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวที่ต้องอยู่ในที่ประชุม ทุกอย่างต้องยึดแนวทางพรรค เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยจะมีแนวทางออกที่ดี ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล และกระทบการตั้งรัฐบาล