xs
xsm
sm
md
lg

“ทนายความอิสระ” ร้องศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง “พิธา-ก้าวไกล” แก้ไข ม.112 เหตุมุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองและเจตนาไม่บริสุทธิ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ทนายความอิสระ” ร้องศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง “พิธา-ก้าวไกล” แก้ไข ม.112 เหตุมุ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองและเจตนาไม่บริสุทธ์ หวั่นนำไปสู่ประชาธิปไตยแบบอื่น

วันนี้ (16 มิ.ย.) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลพิจารณาสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 ยุติ เลิกทำนโยบายการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หากมีการพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และได้ยื่นคำร้องวันที่ 30 พ.ค. 66 เมื่อครบ 15 วันแล้ว อัยการยังไม่ได้สั่งการใด เป็นสิทธิที่จะยื่นร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

โดยยกกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับกรณีที่กลุ่มบุคคลและองค์กรเครือข่ายได้เสนอข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางกระทบกระเทือนถึงสถาบันหลักของชาติ ซึ่งในขณะนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เลิกการกระทำอันกระทบกระเทือนสถาบัน เพื่อเป็นการหยุดยั้งไม่ให้ลุกลามจนเกิดอันตรายแก่สถาบัน
วันนี้จึงเดินทางมายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล เลิกการดำเนินการใดๆหรือการกระทำใดๆ เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขมาตรา 112 รวมไปถึงให้เลิกแสดงความเห็น เลิกพูด เลิกเขียน เลิกพิมพ์ เลิกโฆษณา และสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไข มาตรา 112 ที่กระทำอยู่ในขณะนี้และจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม

ทั้งนี้ นายธีรยุทธ มองว่า เป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง จึงอาจเข้าข่ายมีเจตนาไม่สุจริต มีกระทบกระเทือน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นำไปสู่การทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยแบบอื่นหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

“มีหลายประเด็นที่เห็นว่าเข้าข่าย ต้องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 19/2564 ที่ศาลวินิจฉัยไว้เบื้องต้นว่า การยกเลิกหรือการแก้ไขกฎหมายใดที่มีไว้เพื่อห้ามไม่ให้ผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำนั้นได้มีคำสั่งห้ามไปแล้วในคำวินิจฉัยดังกล่าว”

นายธีรยุทธ ระบุว่า คำร้องนี้แตกต่างจากคำร้อง ที่สำนักงาน กกต.ตีตก ซึ่งคำร้องนั้นอ้างอิงถึงกฎหมาย พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่คำร้องวันนี้ อ้างถึงรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 เห็นเจตนารมณ์ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า “เป็นการดับไฟตั้งแต่ต้นลม มิให้ความร้ายแรงนั้น จะพึงเกิดขึ้นในภายภาคหน้า” ส่วนพยานหลักฐานต่างๆที่ได้มาเรียนต่อศาล ขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล ที่จะชี้แนะต่อไป ทั้งนี้ผู้ร้องทำคำร้อง 18 หน้า และเอกสารพยานหลักฐานทั้งหมด 98 แผ่น






กำลังโหลดความคิดเห็น