เมืองไทย 360 องศา
เวลานี้ใครๆ ก็รู้ว่า คำว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กำลังห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนแทบจะไม่มีโอกาสเลย เพราะอุปสรรคขวากหนามทางกฎหมายที่เริ่มประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน แทบจะทุกทิศทาง และแต่ละเรื่องล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
เริ่มจากเรื่องล่าสุด ที่แม้ว่าทาง กกต. ตีตกคำร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อด้วยเสียงเอกฉันท์ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า นายพิธา จะพ้นบ่วงกรรมไปได้ เพราะการที่ กกต.รับพิจารณาในฐานะ “ความปรากฏ” เพื่อดำเนินคดีตาม มาตรา 151 ของ พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส.นั้น ถือว่า “หนักกว่าเก่า” หลายเท่า
ดังที่ความเห็นของ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นว่า กกต. ไม่รับคำร้องหุ้นสื่อของ 3 นักร้อง แต่รับไว้เองในฐานะความปรากฏ เพื่อดำเนินคดี ตามมาตรา 151 ของ พ.ร.ป. ส.ส.
1. ไม่รับคำร้องของผู้ร้อง แต่รับเป็นความปรากฏ แปลว่า กกต.รับเป็นเจ้าภาพเอง
2. ดำเนินคดีอาญา ม.151 คือ หาก กกต. พบว่า พิธา สมัครโดยขาดคุณสมบัติ กกต.แจ้งความดำเนินคดีผ่าน ตำรวจ อัยการ ไปศาลอาญาได้เลย ไม่ต้องพึ่งศาลรัฐธรรมนูญ โทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท ตัดสิทธิการเมือง 20 ปี
3. การร้องคดีถือหุ้นสื่อยังร้องได้ หลังมีการรับรอง ส.ส.แล้ว ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ โดย ส.ส. 50 คน หรือ ส.ว. 25 คน หรือ กกต.ร้องเอง ในฐานะความปรากฏ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพิกถอนการเป็น ส.ส. และตัดการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้อีกรอบ
4. สรุป หนักกว่าเดิมครับ
นั่นเพียงแค่เรื่องเดียว ก็แทบรากเลือดแล้ว เอาเป็นว่า แม้ว่าตามขั้นตอนแล้วต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่ศาลจะวินิจฉัยออกมา ว่า ไม่ว่าจะเป็นศาลอาญา หรือจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญในบั้นปลายก็ตาม แต่หากพิจารณาจากเรื่อง “เฉพาะหน้า” กันก่อน ที่ต้องเจอ นั่นคือ ด่าน ส.ว.ที่แม้ว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลผสม 8 พรรค 312 เสียง ยังต้องพึ่งพาเสียงโหวตจาก ส.ว. อีก 64 เสียงถึงจะครบจำนวนเสียงโหวตของสมาชิกรัฐสภา จำนวน 376 เสียง เพื่อจะผลักดันให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เป็นนายกฯ จริงๆ แต่เท่าที่มองเห็นตอนนี้ คือ “ยากมาก”
นี่คือ ด่านหินที่ต้องเจอ และเป็นของจริงที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณากันในเรื่ององค์ประกอบและเงื่อนไขหลายอย่างที่มีผลต่อการตัดสินใจโหวตของ ส.ว.นอกเหนือจากเรื่องท่าที มาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลแล้ว ล่าสุด ยังมีหลายเรื่องที่ประดังเข้าใส่ นายพิธา โดยตรง
เช่น มีการเปิดรายงานตรวจสอบบัญชี “ธุรกิจน้ำมันรำข้าว” ให้เงินกู้ยืมระยะสั้นแก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกัน ในช่วงที่ พิธา เป็นกรรมการบริษัท กว่า 117 ล้านบาท แต่กลับไม่มีการชำระหนี้คืนให้แก่บริษัทแต่อย่างใด หรือ กรณีการหยิบประเด็นโปสเตอร์การ์ตูนของพรรคก้าวไกล ที่ปรากฏรูปค้อนเคียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ มาร้องเรียนให้ กกต.ตรวจสอบอีก บางเรื่องแม้ว่าอาจจะดูหยุมหยิม แต่ในเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มันก็ต้องเจอการตรวจสอบแบบถี่ยิบ จนบางครั้งตัวเองก็หลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำไปว่าเคยทำอะไรมาบ้าง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ไม่อาจละเลย ก็คือ การเป็นบุคคลสาธารณะในตำแหน่งสำคัญจะต้อง “เคลียร์” ตัวเองให้เสร็จสิ้นล่วงหน้าเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หุ้น เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ทุกอย่างย่อมมีข้อกำหนดเอาไว้หมดแล้ว หรือแม้แต่ตัวอย่างใกล้ตัวก็มีให้เห็น ดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดปัญหาก็ต้องเคลียร์หรือผ่องถ่ายออกไปก่อน หากเกิดปัญหาภายหลังมันก็ทำให้ถูกมองว่า “ไม่รอบคอบ” หรือ “อ่อนหัด” ก็ได้ เรื่องแค่นี้ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อย จนทำให้บางครั้งการอ้างว่าถูก “กลั่นแกล้ง” หรือถูก “นิติสงคราม” มันมักง่ายเกินไป
เอาเป็นว่านาทีนี้สำหรับ นายพิธา และพรรคก้าวไกล ถือว่าหนักหนาสาหัส ซึ่งหลายฝ่ายฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า หนทางในการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้น ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ต้องมาพิจารณาท่าทีของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นทั้งพันธมิตร เป็นทั้ง “ตัวแปรสำคัญ” ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม ที่มีก้าวไกลเป็นแกนนำ ที่เมื่อสังเกตท่าทีแล้ว “นิ่งเงียบ” อยู่ในที่ตั้ง ไม่แอกชันล้ำหน้า ทุกอย่างเปิดทางให้พรรคก้าวไกลแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ สวมบทบาท “รักษาหลักการ” มีมารยาททางการเมืองอย่างเต็มเปี่ยม ยามนี้เหมือนกับว่าปล่อยให้เดินไปให้สุดทาง ให้ทำเต็มที่ แต่เมื่อผลออกมาแบบไหนค่อยมาว่ากันอีกที และถึงตอนนั้นจะมาว่ากัน หรือตำหนิกันไม่ได้แล้ว
แต่สิ่งที่เพื่อไทย ไม่พูดออกมา ก็คือ รู้อยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกล มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งที่เกิดจากการรัดคอตัวเองจนหาทางออกไม่เจอ ทั้งในเรื่องท่าที มาตรา 112 มีเราไม่มีลุง และเมื่อเป็นแบบนี้ มันก็ย่อมตามมาด้วยไม่มี ส.ว.นั่นเอง ข้อร้องเรียนเรื่องหุ้นสื่อ ที่กลายมาเป็นถูกดำเนินคดีตาม มาตรา 151 ที่หนักกว่าเดิม และที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือ หากนายพิธา ถูกสอย ก็จะไม่มีใครมาแทน เพราะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคมีแค่คนเดียว ซึ่งเมื่อหนทางข้างหน้าเป็นแบบนี้ ก็ “ส้มหล่น” มาที่พรรคเพื่อไทยแน่นอน โดยที่ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขัน ทุกอย่างเปิดทางอ้าซ่า
มีรายงานจากพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา ว่า ในวงหารือของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ที่พรรคก้าวไกล เป็นแกนนำไม่เคยนำกรณีที่ นายพิธา ถูกร้องขึ้นมาหารือ เพราะเป็นเรื่องของพรรคก้าวไกล แต่เมื่อ กกต.ตั้งกรรมการไต่ส่วนขึ้นมา ทางแกนนำพรรคเพื่อไทย มีความเป็นห่วง ว่า ประเด็นดังกล่าวจะกระทบกับการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องจัดการเอง พรรคเพื่อไทยได้แต่ให้กำลังใจ และขออย่าให้ประเด็นนี้เป็นอุปสรรคกับการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคเพื่อไทย มุ่งมั่นให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จไปได้ด้วยดี และยังไม่คิดต่อไปว่าหากเกิดอะไรขึ้นทางออกของการจัดตั้งรัฐบาล จะเป็นอย่างไร เพราะวันนี้พรรคเพื่อไทย ยังเชื่อมั่นว่าพรรคก้าวไกล จะเดินหน้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
ท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทยในแบบเท่ๆ ยังดำเนินไปแบบ “ตามน้ำ” เนียนๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย ทุกอย่างกำลังเดินเข้าทางเรื่อยๆ สอดรับกับข่าวการ “ทอดเวลากลับไทย” ของ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ออกไปหลังจากเดือนกรกฎาคม ที่เป็นวันเกิดออกไปก่อน อย่างน้อยก็หลังการมีรัฐบาลใหม่ไปแล้ว เพราะถึงตอนนั้นนายกฯ คนต่อไปหากไม่ใช่ นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ต้องเป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นั่นแหละ !!