xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ชี้เปรี้ยง “ชนวนพิธา” นำสู่แตกแยกรุนแรงครั้งใหญ่ แนะ ดับด้วยตัวเอง “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ห่วงปมขัดแย้งเพื่อนบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากแฟ้ม
“จตุพร” ชี้ชัด ปม “ถือหุ้นสื่อ” ส่อเป็น “ชนวนพิธา” ก่อแตกแยกรุนแรงครั้งใหญ่ ลามเปิดช่องยึดอำนาจ อ้างปกป้องสถาบัน แนะ ถอดชนวนเอง “ยอมรับ” คุณสมบัติขัดกฎหมาย “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ห่วง 2 ผู้นำเพื่อนบ้านปรามแกมข่มขู่ซึ่งหน้า

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 มิ.ย. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “บ่วง” โดยประเมินว่า สถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อไอทีวี จะกลายเป็น “ชนวนพิธา” อาจนำประเทศไปติดบ่วงการยึดอำนาจซ้ำซาก

อีกทั้งเชื่อว่า “ชนวนพิธา” จะทำให้สังคมเกิดความแตกแยกรุนแรงครั้งใหญ่ เนื่องจากประชาชนฝ่ายสนับสนุนพรรคก้าวไกล ใช้อารมณ์ความรู้สึกมาตัดสินคดีการถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นกติกาคุณสมบัติ จึงควรใช้กฎหมายมากำหนดความชี้ขาด

“ดังนั้น นายพิธา ควรยอมรับความจริงกับคุณสมบัติสมัคร ส.ส.ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการถอดชนวนความแตกแยกรุนแรงด้วยตัวเอง”

“จตุพร” กล่าวว่า การยึดอำนาจแต่ละครั้งในอดีต ส่วนใหญ่มาจากสาเหตุหลัก 4 ประการ คือ 1. ความแตกแยก 2. ทุจริต 3. การแทรกแซงองค์กรอิสระหรือหน่วยงานรัฐ และ 4. หมิ่นสถาบัน สิ่งสำคัญในครั้งนี้ การถือหุ้นสื่อของนายพิธา อาจเป็นจุดตั้งต้นทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น แล้วลุกลามไปเปิดประตูให้มีการยึดอำนาจด้วยการอ้างการหมิ่นสถาบัน จึงต้องออกมาปกป้อง

รวมทั้งเห็นว่า ในกรณีการถือหุ้นนั้น นายพิธา มีสิทธิสู้คดี แต่การสู้ต้องยอมรับผลของคดีด้วย เพราะตัวเองได้ตัดสินใจเข้าไปเล่นในกติกามาตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อพลาดต้องยอมรับว่าพลาด อย่างไรก็ตาม การถือหุ้นสื่อ ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่กฎหมายห้ามนักการเมืองถือ ดังนั้น เมื่อตัดสินใจเล่นเกมแล้วต้องยอมรับชะตากรรมตามกฎหมาย

“เรื่องนี้จะนำพาไปสู่ความแตกแยกใหญ่ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาจรับรอง ส.ส.เบื้องต้น ก็คงส่งเรื่องไปศาล  รธน. และศาลคงใช้หลักการเดียวกัน โดยสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ซึ่งปลายทางหนีไม่พ้น เพราะเส้นทางเป็นเช่นนี้ ส่วนศาลจะวินิจฉัยผลลัพธ์อย่างไร ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งว่า จะลามไปกระทบ ส.ส.ที่ได้รับรองไปหรือไม่”

ภาพ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จากแฟ้ม
“จตุพร” ชี้ว่า หาก กกต.แจกใบเหลือง แดง ส้ม หรือดำ ว่าที่ ส.ส.เกิน 25 คนแล้ว จะเหลือ ส.ส.ไม่ถึงเกณฑ์ 95% หรือ 475 คนจาก 500 คน ก็ไม่สามารถเปิดประชุมสภาได้ จึงอยู่ที่ กกต.จะคิดอ่านกันอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องแล้วเสร็จก่อน 13 ก.ค.นี้ ดังนั้น หลังจากกลางเดือน มิ.ย.นี้ กกต. คงทยอยรับรอง ส.ส. แต่เรื่อง นายพิธา ยากที่จะได้ไปถึงวันเปิดประชุมสภาครั้งแรก เพื่อเริ่มขั้นตอนในลำดับถัดไป ดังนั้น นายพิธา คงต้องทำใจให้ได้

อีกทั้งยังกล่าวว่า เมื่อ นายพิธา ติดบ่วงการถือหุ้นสื่อแล้ว ย่อมเกิดเหตุใหญ่กับตำแหน่งประธานสภา ซึ่งอาจไม่ใช่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่ต้องการจะเป็นตำแหน่งนี้เสียแล้ว แต่อาจเป็น ส.สมศักดิ์ หรือ ส.สุชาติ ที่ทั้งสองคนย้ายมาจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเลือกนายกฯ ในสถานการณ์ประเทศเผชิญหน้ากับความแตกแยกรุนแรง

“ถ้ามีการแหวกขั้ว ซึ่งเป็นทางเดียวที่จะตั้งรัฐบาลได้ พรรค 141 เสียงต้องย้ายขั้วไปหาฝ่าย 188 เสียง เพื่อตั้งรัฐบาลขึ้นมาแทนที่ ถึงที่สุดความขัดแย้งต้องเกิดขึ้นมากหรือน้อยแตกต่างกันไป เพราะจุดเริ่มมาจากคุณสมบัติของนายพิธา หากพรรคก้าวไกลถูกทิ้งไว้เป็นฝ่ายค้านแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองจะลุกลามขึ้นไปอีก”

“จตุพร” เชื่อว่า การแตกแยกครั้งนี้จะลุกลามครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสบายตัวที่สุด ถ้าเลือกทางรับผิดชอบลาออกจากนายกฯ และรัฐบาลรักษาการเพื่อรับผิดชอบมติ ครม. ออก พ.ร.ก.เลื่อนการอุ้มหาย ซึ่งศาล รธน.วินิจฉัยว่า ขัด รธน.

อีกทั้งเห็นว่า เมื่อเกิดการยึดอำนาจ ข้ออ้างการกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ จะนำมาใช้เป็นเหตุในการยึดอำนาจ แต่จะทำให้คนอีกฝ่ายหนึ่งทนไม่ได้ก็ออกมาเผชิญหน้า ดังนั้น ใครจะคิดอย่างไรย่อมหนีไม่พ้นการเผชิญหน้าความรุนแรง

“หาก นายพิธา ยอมรับความจริงเสียก่อน มันก็จบแค่นายพิธา ถ้ายอมรับไม่ได้ก็จะเป็นชนวนพิธา ทำให้เกิดการลุกลามขึ้นในสังคม จึงเป็นสถานการณ์เปราะบางมาก ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นการประชุมสภาก็ไม่ได้ประชุม และอาจรุนแรงลามถึงขั้นเลือกประธานสภาและเลือกนายกฯ ไม่ได้ด้วย”

“จตุพร” แนะว่า การเสียสละตนเองเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อตนเองกินแดนเข้าไปสู่ข้อห้ามทางกฎหมาย ก็ต้องยอมรับความจริง และต้องกล้าประกาศออกมา แต่ถ้ามีความเชื่อว่า จะมีมวลชนออกมาต่อสู้ แต่จะกลายเป็นว่า ไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ ดังนั้น สถานการณ์ในอนาคตจึงย่อมมาจากเหตุการณ์ชนวนพิธาเป็นสิ่งกำหนดความรุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ เน้นว่า หากคิดไม่ยอมรับความจริงกันแล้ว จะไม่มีทางได้เริ่มต้นแบบปกติ และใครที่นั่งแบ่งกระทรวง ท้ายที่สุดจะไม่ได้อะไรเลย อย่างไรก็ตาม ถ้า 312 เสียง กับ 188 เสียง และ ส.ว. อีกทั้ง ศาล รธน. กับ กกต. ถ้าทั้งหมดนี้ยึดมั่นในหลักศักดิ์ศรีเป็นคนจริง ประเทศก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องอยู่กันแบบนี้

“ถึงที่สุดประเทศนี้ไม่มีคนจริงสักคน แต่มีคนโหลยโท่ยไปทำในสิ่งที่แย่ ดังนั้น ทุกอย่างทางการเมืองจึงอยู่ที่คน แม้มีระบบที่ดี แต่คนเฮงซวยแล้ว ก็จะมีปัญหาอีก การจะมาจากแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง ถ้าชั่วก็เป็นเหมือนกัน และประเทศย่อมฉิบหายไม่แตกต่างกัน”

“จตุพร” หวังว่า นายพิธา จะเสนอความเป็นจริง ออกมายอมรับการฝ่าฝืนกติกาข้อห้ามสมัคร ส.ส. ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับตัวเอง แต่ถ้าคิดว่า จะให้มีสงครามแล้วเกิดประโยชน์กว่าก็เดินหน้าตามตั้งใจ ซึ่งอยู่ที่ต้องคิดกันเอาเอง

ภาพ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า

“หนังจบแล้ว ผมไม่ได้สนใจว่า คดีหุ้นของคุณพิธา จะออกมาในรูปแบบใด เพราะรู้ๆ กันว่า เรื่องนี้ “หนังจบแล้ว”

แต่ก็สงสัยว่า เป็นถึงหัวหน้าพรรค พลาดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ไปได้อย่างไร ยังรวมถึงการส่งผู้สมัครที่ขาดคุณสมบัติลงสมัครอีกด้วย ฯลฯ ซึ่งผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เป็นพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งมาแล้วถึง 2 สมัย

นอกจากนั้น ในปัจจุบัน คุณพิธา ยังไม่ได้รับตำแหน่งนายกฯเลย แต่ก็มีเรื่องที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ถึง 2 ประเทศออกมาปรามแกมขู่ กันซึ่งๆ หน้า

นับเป็นผู้นำคนเดียวในโลกจริงๆ ที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ การทำงานแค่ในระดับพรรค ที่ขาดความรอบคอบเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ถ้ามาบริหารงานระดับประเทศ ในกรณีที่เป็นรัฐบาลแล้ว หลายคนสงสัยว่า “สภาพของประเทศไทย ในอนาคต จะเป็นอย่างไร?”

นี่คือ เรื่องที่น่าสนใจ และน่าห่วงใย มากกว่าเรื่องหุ้นครับ”

ภาพ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า

“หนังจบแล้ว ผมไม่ได้สนใจว่า คดีหุ้นของคุณ พิธาจะออกมาในรูปแบบใด เพราะรู้ๆกันว่า เรื่องนี้ "หนังจบแล้ว"

แต่ก็สงสัยว่า เป็นถึงหัวหน้าพรรค พลาดในเรื่องเล็กๆน้อยๆ แบบนี้ไปได้อย่างไร ยังรวมถึงการส่งผู้สมัครที่ขาดคุณสมบัติลงสมัครอีกด้วย ฯลฯ ซึ่งผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่เป็นพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งมาแล้วถึง 2 สมัย

นอกจากนั้นในปัจจุบัน คุณพิธา ยังไม่ได้รับตำแหน่งนายกฯเลย แต่ก็มีเรื่องที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ถึง 2 ประเทศออกมาปรามแกมขู่ กันซึ่งๆหน้า

นับเป็นผู้นำคนเดียวในโลกจริงๆ ที่ต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ การทำงานแค่ในระดับพรรค ที่ขาดความรอบคอบเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ถ้ามาบริหารงานระดับประเทศ ในกรณีที่เป็น รัฐบาลแล้ว หลายคนสงสัยว่า “สภาพของประเทศไทย ในอนาคต จะเป็นอย่างไร? “

นี่คือเรื่องที่น่าสนใจ และน่าห่วงใย มากกว่าเรื่องหุ้นครับ”


กำลังโหลดความคิดเห็น