“สนธิญา” แจงทำหนังสือขอโทษ “เสรีพิศุทธ์” ตามคำแนะนำศาล ยันไม่เมตตาพร้อมต่อสู้คดี ระบุถูกคุกคามชีวิต จี้สื่อปกปิดข้อมูล จ้องเล่นงานเกรียนคีย์บอร์ดเม้นท์เกินเบอร์
วันนี้(1 มิ.ย.) นายสนธิญา สวัสดี กล่าวกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย โพสต์หนังสือที่นายสนธิญาขอโทษเพื่อขอคความเห็นจากประชาชนว่า ควรยกโทษให้หรือไม่ ว่า หนังสือที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เผยแพร่ และมีการส่งต่อกันในโซเชียล มีข้อมูลส่วนตัวทั้งเบอร์โทรศัพท์ ที่ บ้านเลขที่ ทำให้ ตลอดคืนที่ผ่านมามีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาตนไม่ต่ำกว่า 20 สาย ซึ่งการเผยแพร่ดังกล่าวถือเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA จึงอยากขอความร่วมมือสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดีย ให้ระมัดระวังการเผยแพร่ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นที่เกินเลย ขอให้ลบภายในวันนี้ หากไม่ดำเนินการก็ขอที่จะดำเนินคดี
นายสนธิญา ยังชี้แจงว่า หนังสือขอโทษที่ทำถึงพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นการทำตามคำแนะนำของศาล โดยฉบับนี้เป็นฉบับที่ 2 แต่เมื่อได้รับหนังสือ พล.ต.เสรีพิศุทธ์ ได้นำไปโพสต์จนมีคนคุกคาม เกิดความไม่สงบในชีวิต แต่ก็จะไม่ฟ้องกลับ เพราะถือว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีวุฒิภาวะ และไตร่ตรองดีแล้วที่นำมาเปิดเผย และหากปฏิเสธที่จะไกล่เกลี่ยกัน ก็ต้องไปต่อสู้กันในชั้นศาลต่อไป
“ประชาชนที่ไปแสดงความเห็นบอกว่า 2แสนกว่าคน ถามว่ารู้ไหมว่าผมถูกฟ้องจากเรื่องอะไร ก็ไม่รู้ ผมกับท่านเสรีพิศุทธ์ ส่วนตัวไม่ได้มีอะไรกัน และผมไม่เคยจาบจ้วงท่านในเรื่องส่วนตัว เรื่องที่ร้องให้ตรวจสอบก็ไม่ได้ทำเพราะใครจ้างมา เป็นการทำตามอุดมการณ์ และจากการที่ได้ไปทำหน้าที่ในกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร ที่ก็ไม่ได้รับเงินเดือนอะไร รวมทั้งหลายเรื่องปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเราก็อยากให้เรื่องกระจ่าง เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน แต่ท่านเสรีพิศุทธ์จะพิจารณาอย่างไรก็อยู่ที่ท่านจะเมตตากรุณา บางคนโทรมาว่า สนธิญากลัวเสียศักดิ์ศรีไหม ในทางการเมืองผมไม่ได้มีศักดิ์ศรีอะไร ผมก็ทำงานของผมต่อ เกียรติและศักดิ์ศรีของผมให้อยู่ที่ประชาชนจะตัดสินว่าผมผิดหรือถูก”
ทั้งนี้นายสนธิญา ยังได้ยื่นคำร้องต่อกกต.ติดตามกรณีที่เคยยื่นขอให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงถมทะเลจ.สมุทรสาคร ของพรรคเพื่อไทย ว่ามีการเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมีการทำประชาพิจารณ์ ถามความเห็นของประชาชนแล้วหรือยัง โดยมองว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่หากไม่มีการดำเนินการนโยบายหาเสียงดังกล่าว ถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงตามมาตรา 73(5) ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. รวมทั้งกรณีที่ได้ยื่นร้องว่าพรรคเพื่อไทยปล่อยให้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ครอบงำ ชี้นำ จากกรณีขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับพรรคเพื่อไทยด้วย